คุยกับผีตัวที่ ๗ ฤษี ๔ ธาตุ

คุยกับผีตัวที่ ๗ ฤษี ๔ ธาตุ

ว่าไปก็มาถึงผีตัวที่ ๗ ที่สัญญากันไว้ว่าจะมาเล่าให้ท่านได้ฟังกันตัวนี้นี่ค่อนข้างจะพิเศษนิดหนึ่ง จริงๆแล้วไม่ได้อยากจะเล่าให้ใครฟังเลยเรื่องนี้ แต่ก็ช่างมันเถอะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว วันที่ ๖ ของการไปอยู่วัดที่ไปถือศีลผ้าขาว หรือศีล ๘ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าอุโบสถศีล วันที่ ๖ กิจวัตรประจำวันก็ยังเหมือนเดิม เช้าก็ตื่นตั้งแต่ตี ๔ บ้าง ตี๔ ครึ่งบ้างมานั่งกรรมฐานคนเดียว ในที่สัปปายะคนเดียวจนพระอาทิตย์ขึ้น ก็ได้เวลาอาบน้ำอาบท่าเหมือนทุกวัน แล้วก็ไปฉันที่ศาลา เมื่อฉันเช้าเสร็จก็กลับมาพักผ่อน ปฏิบัติธรรมไปตามปกติตามเรื่อง จนกระทั่งเพล พอฉันเพลกลับมาแล้ววันนั้นรู้สึกว่าอยากจะนอนก็เลยถือโอกาสไปนอน นอนได้ซักพักหนึ่งประมาณซักครึ่งชั่วโมง ไม่เอาดีกว่าตื่นและไปหาที่ปฏิบัติดีกว่าเวลาตอนนั้นประมาณซักบ่ายโมงกว่าๆเห็นจะได้ยังไม่ได้นั่งสมาธิหรอกออกไปแล้วก็ไปเดินจงกรมปกติ เดินได้สักชั่วโมงก็มองไปเห็นบริเวณๆหนึ่งที่ผู้เขียนไม่เคยไปนั่งเลย มันเป็นบริเวณริมสระบัวของวัดและมันมีต้นมะม่วงอยู่ต้นหนึ่ง ต้นเล็กๆ สูงประมาณซัก ๒-๓ เมตรได้ แต่พุ่มเตี้ยๆมีร่มพอที่จะกันแดด เวลานั้นก็ประมาณซักบ่าย สอง บ่ายสองโมงครึ่ง ผู้เขียนเดินจงกรมเสร็จแล้ว ก็เลยคิดว่าบริเวณนี้ไม่เคยไปนั่งขอไปนั่งซักวันหนึ่งไหนๆก็มาแถวนี้แล้วก็เลยไปนั่งถือว่าต้นมะม่วงต้นนั้นเป็นที่ตั้ง ตั้งใจว่าจะนั่งตรงนั้น เมื่อไปถึงก็ลงนั่งโดยนั่งหันหลังให้กับแดด แดดจะได้ไม่ส่องหน้า ตอนนั้นเป็นช่วงบ่ายแดดค่อนข้างร้อน แต่ตรงที่นั่งนั่นมันมีร่มพอดี บริเวณที่ผู้เขียนไปนั่งมันเป็นสนามหญ้าที่ตัดแล้วเรียบๆเตียนๆ ไม่มีอะไรเลยมีแต่สนามหญ้าและก็มีต้นมะม่วงนี้อยู่ ก็เลยตั้งใจนั่งตรงนี้ พอลงไปนั่งก็เข้าสมาธิ ไม่ได้คิดอะไรเหมือนกับทุกวันนั่นแหละคืออยากจะนั่ง แต่วันนั้นเกิดมีความคิดแผลงๆว่าผู้เขียนก็เห็นอะไรๆไปหลายสิ่งหลายอย่างแล้ว วันนี้อยากลองใช้ฌานดูอีกสักครั้งหนึ่ง จะไปเที่ยวที่เดิมที่เคยไปที่เล่ามาให้ฟังสามสี่วันนั่นแหละ พอคิดอย่างนั้นแล้วจึงกำหนดจิตไป ไปข้างหน้าทีหนึ่ง ข้างหลังทีหนึ่ง ทางขวาทีหนึ่งทางซ้ายทีหนึ่งข้างบนข้างล่างส่งจิตไปอย่างนี้ แต่ละทีที่ออกไปนั้น มันไปไม่ได้เลยซักทาง มันมีแต่ความมืด มันรู้สึกว่าเหมือนมีกำแพงปิดล้อมเอาไว้ผู้เขียนเริ่มรู้สึกว่าหงุดหงิด ทำไมมันไม่ได้ทำไมไปไม่ได้ทำไมวันนี้เราไปไม่ได้ทำไมเราถึงไปไม่ได้เป็นอะไรไปคิดอย่างนี้ตลอดเวลาแล้วก็พยายามที่จะไปให้ได้ตลอดเวลา ไปๆๆๆๆๆจนเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่แล้ว เริ่มรู้สึกท้อ เอ๊ะ!เราผิดอะไรเหรอเราทำอะไรผิดเหรอเราถึงทำไม่ได้ งุ่นง่านกับตัวเองซักครู่หนึ่งก็มีเสียงพูดว่า “หยุดก่อนเถิด” ดังขึ้นมา ผู้เขียนก็หยุดฟังเสียง หลังจากสิ้นเสียงนั้นแล้ว ก็ปรากฏว่าตรงหน้าของผู้เขียนนั้นปรากฏมีฤษีอยู่ตรงหน้าผู้เขียนถึง ๔ ตน ลักษณะของการนั่งก็คือนั่งประจันหน้ากันนั่นเอง ผู้แล้วฤษีก็พูดขึ้นอีกว่า “หยุดก่อนเถิดท่าน” เป็นครั้งที่ ๒ ผู้เขียนก็ถามเขาว่า “ทำไมท่านต้องมาห้ามเราไม่ให้เราทำในสิ่งที่เราอยากจะทำ เป็นเพราะท่านหรือที่ทำให้เราไปไหนไม่ได้” “ไม่ใช่” เขาตอบว่าไม่ใช่ “ที่ท่านกำลังทำอยู่นั้นไม่ใช่” ผู้เขียนก็ถามไปว่า “ที่เรากำลังทำอยู่นี่มันไม่ใช่ได้ยังไงก็เราทำอย่างนี้ทุกวัน” เขาบอก “ใช่ที่ท่านทำอยู่นะมันใช่สำหรับคนทั่วๆไป แต่มันไม่ใช่สำหรับท่าน สำหรับท่านๆไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งเหล่านี้ มีอีกที่หนึ่ง มีอีกหนทางหนึ่งที่ท่านจะต้องไปที่ดีกว่าที่ตรงนี้” ผู้เขียนก็ถามว่า “แล้วที่ไหนล่ะ หมายถึงที่ๆเราต้องรู้เหรอ” เขาบอก“ใช่ ที่ๆท่านควรจะรู้ ที่ๆท่านควรจะไป ที่ของท่าน” ผู้เขียนก็ถามว่า “แล้วอยู่ที่ไหน” ฤษีตนหนึ่งใน ๔ ตนนั้นชี้มือไปทางซ้ายของเขาก็คือทางขวาของผู้เขียนนั่นเอง ขึ้นไปบนฟ้า ผู้เขียนมองตามมือที่เขาชี้ขึ้นไป ปลายมือของเขานั้นผู้เขียนเห็นหน้าผาที่สูงชันมาก มีน้ำตกไหลลงมาเป็นธารน้ำ ผู้เขียนก็ถามว่า “แล้วเราจะไปยังไง” ฤษีทั้ง ๔ ตนก็บอกว่า “เราจะพาท่านไปเอง” ผู้เขียนก็ถามว่า “แล้วเราจะไปกันยังไง”“ท่านจงตามมาเถิด” ซักพักหนึ่งฤษีทั้ง ๔ ตนนั้นก็ลุกขึ้นจากไป ในสภาวะนั้นก็เหมือนกับเขาลุกขึ้นแล้วผู้เขียนก็ลุกขึ้นเดินตามฤษีไปนั่นเอง แต่ความจริงแล้วตัวเรายังนั่งอยู่ที่เดิมแต่ที่เดินไป ไปโดยทางจิต เดินไปได้สักระยะหนึ่งก็มาถึงที่ ที่ตรงที่มีท่าน้ำอยู่เป็นแม่น้ำที่ไหลลงมาจากน้ำตกบนหน้าผาสูงที่ฤษีชี้ให้ดูเมื่อสักครู่นี้ แล้วผู้เขียนก็ถามว่า “ เราจะไปไหนกัน” ฤษีหนึ่งใน ๔ นั้นบอกว่า “เราจะไปทางนี้” ซักครู่หนึ่งก็มีเรือสำเภาลำใหญ่มาจอดเทียบที่ท่าน้ำนั้น ฤษีหนึ่งในนั้นก็บอกว่า “มาเถิดท่าน มาขึ้นเรือไปด้วยกันเถิด” ฤษี ๔ ตนนั้นก็ลงเรือไปก่อนแล้วก็ร้องเรียกให้ผู้เขียนนั้นเดินตามขึ้นไปบนเรือ ผู้เขียนก็เดินตามขึ้นไปในเรือนั้น แล้วก็ถามว่า “ท่านฤษีแล้วเรือนี้จะนำพวกเราขึ้นไปยังไง หน้าผามันสูงมาก เรือจะลอยทวนน้ำขึ้นไปได้ยังไงกัน” “เรือในโลกนั้นลอยทวนน้ำไม่ได้ แต่เรือแห่งบุญนั้นลอยทวนน้ำได้” พูดยังไม่ทันจบเรือสำเภาลำนั้นก็ลอยทวนขึ้นไปบนหน้าผาสูงตามธารน้ำตกที่ไหลลงมาจากหน้าผานั้น โดยที่ผู้เขียนไม่รู้สึกกระทบกระเทือนจากการเคลื่อนไหวของเรือนั้นเลย อึดใจเดียวเท่านั้นเรือนั้นก็มาจอดถึงท่าที่อยู่ข้างบนหน้าผาสูง ฤษีทั้ง ๔ ตนก็บอกว่า “ถึงแล้ว มาเถิดท่าน ที่นี่แหละที่ของท่านที่ๆท่านควรจะต้องมา” ผู้เขียนก็ขึ้นจากเรือเดินตามฤษีทั้ง ๔ ตนไป ขณะที่เราเดินขึ้นจากท่าเรือไปแล้ว ตาของผู้เขียนมองไปข้างหน้าเห็นภูเขาลูกใหญ่ ตรงหน้าของที่มองไปนั้นเห็นเป็นถ้ำที่มีประตูบานใหญ่ปิดปากถ้ำอยู่ ประตูบานใหญ่มาก ที่สองข้างของประตูนั้นมียักษ์ยืนเฝ้าอยู่ข้างละตน ซึ่งผู้เขียนเข้าใจว่านั้นคือยักษ์ที่ทำหน้าที่เป็นทวารบาล ยักษ์ทั้ง ๒ ตนนั้นถือสามง่ามยืนเฝ้าประตูอย่างเข้มแข็ง ท่าทางดุดัน หน้าตาน่ากลัว ฤษีทั้ง ๔ ตนนั้นก็เดินนำผู้เขียนเข้าไปที่หน้าประตูถ้ำนั้นแล้วพูดว่า “เราจะเข้าไปข้างในกันท่านจงตามเรามา” ขณะที่ฤษีพูดจบประตูถ้ำนั้นก็เปิดออก ฤษีทั้ง ๔ ตนนั้นก็เดินเข้าไปอย่างง่ายดาย ยักษ์ทั้งสองตนนั้นยืนนิ่งเฉยไม่ได้ทำอะไร จังหวะเดียวกันนั้นผู้เขียนก็เดินตามฤษีไป แต่ขณะที่กำลังจะก้าวเท้าข้ามธรณีประตูเข้าไปในถ้ำนั้น ยักษ์ทั้งสองตนที่เมื่อสักครู่ยืนนิ่งอยู่ได้เอาสามง่ามที่ถือนั้นมาขวางหน้าไว้ และก็พูดว่า “ไม่ใช่ที่ของเจ้า เจ้าเข้าไม่ได้” ผู้เขียนก็ตอบไปว่า “เราก็รู้ว่าไม่ใช่ที่ของเราและเราก็ไม่ได้คิดว่าจะเข้าไปได้ แต่ฤษีทั้ง ๔ ตนที่เดินนำเข้าไปก่อนแล้วนั้น เป็นผู้พาเรามาแล้วบอกให้เราเดินตามเข้าไป” ยักษ์ทั้งสองพูดว่า “ไม่ได้ เราให้เจ้าเข้าไปไม่ได้ ที่ตรงนี้เป็นที่สำหรับผู้บริสุทธิ์แล้วเท่านั้น” ฤษีตนหนึ่งคงได้ยินเสียงที่ผู้เขียนได้คุยกับยักษ์ จึงได้พูดกลับออกมาว่า “ทวารบาลท่านจงอย่าขวางหนุ่มน้อยนั้นเลย ท่านจงปล่อยให้เขาเข้ามาเถิด เขาสมควรได้เข้ามาที่นี่แล้ว” เมื่อยักษ์ได้ฟังเสียงฤษีตนนั้นที่พูดออกมา ยักษ์นั่นจึงยอมเปิดทางให้ผู้เขียน ได้เดินตามฤษีเข้าไป ก้าวแรกที่ผู้เขียนก้าวเข้าไปในนั้นความรู้สึกก็คือ มันเป็นสถานที่ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนมันไม่มีอยู่ในโลกนี้แน่นอน ผู้อ่านทั้งหลาย อ่านแล้วอาจจะไม่เชื่อแต่นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับผู้เขียน ภาพที่เห็นหลังจากที่เดินเข้าไปในประตูนั้นแล้ว ภายในถ้ำนั้นโอ่โถงใหญ่โตกว้างขวางมาก มองไปสุดสายตาเหมือนอยู่ในสนามฟุตบอลสนามหนึ่ง (นี่พูดตามภาพที่เห็นนะ)ที่ใช้ว่าสนามฟุตบอลก็เพราะมันกว้างใหญ่แล้วมันมี อัฒจันทร์ลักษณะเดียวกันกับสนามฟุตบอลแต่ไม่ได้ติดกันเป็นแผงคือไม่ได้เป็นแถวยาว แต่เป็นที่นั่งเฉพาะๆกระจายกันอยู่เต็ม เป็นชั้นขึ้นไปเหมือนอัฒจันทร์ฟุตบอลอย่างนั้นแหละ แต่ละที่นั่งนั้นก็เป็นที่นั่งที่มีดอกบัวรองรับอยู่ แวบแรกในใจของผู้เขียนรู้เลยว่าต้องเป็นที่ๆพระอรหันต์รวมกันอยู่แน่ซึ่งจากความคิดตรงนี้ ปากถ้ำด้านบนนั้นก็ค่อยๆเปิดออก มันเปิดออกได้ พอปากถ้ำด้านบนเปิดออกจนกว้างสุดแล้ว สิ่งที่เห็นตามมาก็คือมีพระสงฆ์จำนวนมากมายเหาะลงมาจากฟ้า มานับไม่ถ้วน เป็นพันก็ไม่ใช่เป็นหมื่นก็ไม่ใช่เป็นแสนก็ไม่ใช่เป็นล้านก็ไม่ใช่ มีมากกว่านั้น คือถึงจะมากเพียงใดก็ตามที่เรานับไม่ได้ก็จริง แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจก็คือ ที่นั่งดอกบัวที่อยู่บนอัฒจันทร์นั้นก็มีมากพอรองรับพระสงฆ์เหล่านั้นได้นั่งหมดทุกองค์ พระสงฆ์ทั้งหมดที่ลงมานั้นล้วนมีที่นั่งทุกองค์ ความรู้สึกของผู้เขียนตอนนั้นคือ ความประหลาดอัศจรรย์ใจเป็นยิ่งนัก มันมีอยู่จริงเหรอดินแดนแบบนี้มีอยู่จริงหรือ ผู้เขียนสงสัยก็เลยถามฤษีทั้ง ๔ ตนไปว่า “ที่นี่คือที่ไหนกัน” ฤษีหนึ่งใน ๔ ตนนั้นตอบว่า “แดนแห่งพระนิพพาน” ผู้เขียนถามต่อไปว่า“ถ้างั้นพระสงฆ์ที่เหาะลงมาจากฟ้าทั้งหมดนั้นก็คือพระอรหันต์สาวกทั้งหลายของพระพุทธเจ้าน่ะซิ” หนึ่งในฤษีตอบว่า “ใช่แล้วที่นี่คือแดนแห่งพระอรหันต์หรือแดนแห่งพระนิพพานที่มนุษย์เรียกกันนั่นเอง”“อ้าว แต่เราได้ยินมาว่าแดนแห่งพระนิพพานนั้นไม่มีรูปไม่มีร่างแล้วไม่ใช่หรือ”“เป็นภาษาโลกแต่ในทางจิตแล้วก็อย่างที่เห็นนี่แหละ” ฤษีหนึ่งใน ๔ นั้นก็ตอบ “ไปเถอะอย่าเพิ่งสงสัยเลยยังมีสิ่งที่ท่านจะสงสัยมากขึ้นไปอีก” แล้วผู้เขียนก็เดินตามฤษีเข้าไป แล้วก็ถามฤษีต่ออีกด้วยความสงสัย “ท่านฤษี แล้วเราจะไปนั่งตรงไหน เพราะที่นั่งทั้งหลายนั้นเป็นที่ของพระอรหันต์ทั้งนั้นเลย แต่เราไม่ใช่พระอรหันต์เราจะนั่งตรงไหนกัน” ฤษีบอกว่า “วันนี้ยังไม่ใช่แต่ท่านเห็นอาสนะที่ว่างนั่นหรือไม่” ที่นั่งทั้งหลายเต็มหมดทุกที่นั่ง แต่กลับมีที่นั่งว่างอยู่ที่หนึ่ง ฤษีหนึ่งในนั้นก็ชี้ให้ผู้เขียนดูที่นั่งนั้นแล้วก็บอกว่า “ที่นั่งนั้นแหละเป็นของท่านถ้าท่านทำได้ท่านจะได้นั่งที่ตรงนั้น แต่วันนี้ท่านยังนั่งไม่ได้เพราะยังไม่ใช่เวลาที่ท่านควรจะนั่ง” ผู้เขียนก็เลยมีความรู้สึกว่า จริงๆเหรอและยังสงสัยอยู่ในใจก็ยังไม่ได้เชื่อปักใจอะไรนักแต่หลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่เห็นนั้นก็รู้สึกว่าผู้เขียนมีความประทับใจไม่ใช่ประทับใจสิ เขาเรียกว่าปลาบปลื้มปีติ ก็เพราะได้มีโอกาสเห็นพระอรหันต์จำนวนมากมาย แต่เรื่องที่เล่าต่อไปนั้นน่าอัศจรรย์กว่านี้อีก หลังจากที่ได้พูดคุยกับฤษีแล้วฤษีก็พาไปนั่ง ณ ที่ควรนั่งส่วนหนึ่งของบริเวณนั้นก็คือฤษีทั้ง ๔ ตนนั้นจะนั่งแบ่งออกเป็นสองฝ่ายๆละ ๒ ตนไปนั่งอยู่ทางซ้าย ๒ ทางขวา ๒ และให้ผู้เขียนนั่งอยู่ตรงกลางนั้นแล้วบอกว่า “ท่านนั่งตรงนี้ก่อนเถิด แล้วจงรอ” ผู้เขียนก็ถามว่า “รออะไร” “ท่านอย่าเพิ่งถามเลย” ฤษีตอบ “อีกสักครู่ เดี๋ยวท่านก็จะได้รู้เอง” ขณะที่พวกเรากำลังนั่งรอเป็นเวลาไม่นานนัก ก็มีเสียงดังขึ้น ดังมาจากท้องฟ้าดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณ เสียงนั้นพูดว่า “พระพุทธเจ้าเสด็จแล้ว พระพุทธเจ้าเสด็จแล้ว พระพุทธเจ้าเสด็จแล้ว” แสงสว่างที่ออกมาจากท้องฟ้ามันสว่างมากมันสว่างจนเราต้องหลับตา แล้วก็เห็นดอกบัวขนาดใหญ่มาก ใหญ่ขนาดที่ว่าผู้เขียนเปรียบเทียบให้ผู้อ่านทุกคนฟังว่า มันใหญ่เหมือนภูเขาที่สูงใหญ่ลูกหนึ่งเลย ดอกบัวดอกใหญ่ดอกนั้นค่อยๆลอยต่ำลงมา ต่ำลงมา ต่ำลงมาเรื่อยๆ สิ่งที่อยู่บนดอกบัวนั้นคือพระพุทธเจ้า พระองค์มีพระวรกายที่ใหญ่โตมากใหญ่เหมือนภูเขา แล้วดอกบัวก็ลอยต่ำลงมาจนถึงพื้น มีพระพุทธเจ้าประทับนั่งอย่างสงบบนดอกบัวนั้น มันมีความรู้สึกว่านี่เหรอพระพุทธเจ้า นี่หรือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามีจริง พระพุทธเจ้ายังอยู่หรือ คำถามในใจของผู้เขียนถามอย่างนี้ตลอด เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินก็คือพระองค์เปล่งพระสุรเสียงออกมาว่า “หนุ่มน้อยคนนั้นมาแล้วหรือ” เสียงของพระอรหันต์รูปหนึ่งที่ดูแลพระองค์ก็บอกว่า “มาแล้วพระเจ้าข้า” พระพุทธเจ้าก็ตรัสอีกว่า “จงพาเขาเข้ามาหาเราสิ” แล้วพระอรหันต์รูปนั้นก็มาพาผู้เขียนข้าไปนั่งตรงส่วนด้านหน้าของพระพุทธเจ้า (ผู้เขียนจะเปรียบให้คุณผู้อ่านทั้งหลายเห็นภาพว่า เมื่อเรานั่งในท่านั่งสมาธิอยู่ที่ใดที่หนึ่งแล้วข้างหน้าเรานั้นมีมดตัวหนึ่งเดินอยู่ การเปรียบเทียบนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่าเมื่อพระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ผู้เขียนก็เหมือนมดตัวหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าพระองค์นั้นแหละ ความใหญ่โตของพระองค์กับตัวของผู้เขียนนั้นต่างกันมาก นี่แสดงให้เห็นชัดว่าพระองค์มีพระวรกายที่ใหญ่โตมาก) พอพระอรหันต์พาผู้เขียนเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยให้นั่งตรงด้านหน้าพระองค์แล้ว ผู้เขียนก็ก้มลงกราบถวายบังคมพระพุทธเจ้าแล้วพระพุทธเจ้าก็แย้มพระสรวลก็คือยิ้มให้ แล้วก็มีพระสุรเสียงถามผู้เขียนมาว่า “เหนื่อยมั๊ยหนุ่มน้อย” ความรู้สึกของผู้เขียนตอนนั้นก็คือเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ความรู้สึกที่ได้ยินพระองค์ถามก็ทำให้เกิดปีติอย่างบอกไม่ถูก แล้วผู้เขียนก็ตอบพระองค์ไปว่า “ไม่เหนื่อย ไม่เหนื่อยเลยขอรับ” พระพุทธเจ้าก็ทรงยิ้มให้แล้วก็ตรัสต่อไปว่า “ถึงเวลาของเธอแล้ว ต่อไปนี้พระศาสนาต้องฝากไว้ในมือเธอด้วยอีกหนึ่งคน ขอเธอจงตั้งใจ ทำงานที่ตถาคต ที่เราทำไว้ด้วย” เวลานั้นเมื่อได้ฟังคำตรัสของพระพุทธเจ้าว่าขอให้เราตั้งใจช่วยเหลืองานพระพุทธศาสนาความรู้สึกที่ไม่เชื่อก็เกิดขึ้นในใจว่า ไม่จริงหรอก สิ่งที่อยู่ข้างหน้านี้ไม่ใช่ความจริงคงไม่ใช่ความจริง พระพุทธเจ้าคงรู้ความคิดนั้น ก็มีพระสุรเสียงถามมาว่า “แล้วอะไรที่จะทำให้เธอเชื่อว่าเวลานี้เธออยู่ตรงหน้าพระพุทธเจ้า” ผู้เขียนตอบไปว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นั้นหาได้ไม่เชื่อพระองค์โดยถ่ายเดียวไม่ ข้าพระองค์ก็มีความเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าของข้าพระองค์นี้เป็นพระพุทธเจ้าที่แท้จริง แต่เพียงแต่ว่าข้าพระองค์จะพูดอย่างไรล่ะให้ใครเชื่อข้าพระองค์ล่ะว่าข้าพระองค์มาเจอพระองค์ที่นี่ พระองค์มีหลักฐานหรือ มีสิ่งใดที่จะให้ข้าพระองค์นี้ไว้เป็นหลักฐานยืนยันการที่ข้าพระองค์มาพบกับพระองค์ในครั้งนี้หรือไม่ ว่าครั้งหนึ่งข้าพระองค์ได้มาพบพระองค์จริงๆ เมื่อในวันข้างหน้าข้าพระองค์ต้องประกาศธรรมของพระองค์ ทุกคนจะได้เชื่อในสิ่งที่ข้าพระองค์พูด” สิ้นคำพูดของผู้เขียนพระพุทธเจ้านั้นได้ยกพระหัตถ์ด้านขวาของพระองค์นั้นไปที่ท้ายทอยของพระองค์แล้วไปจับที่ปลายผมของพระองค์ เข้าใจว่าพระองค์จะดึงผมหรืออะไรซักอย่างหนึ่งที่ปลายท้ายทอยของพระองค์นั้นมาด้วยนิ้วทั้งสองคือนิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือของพระองค์นั้นมาแล้วก็ทรงตรัสผู้เขียนว่า “แบมือออกมาซิ” ผู้เขียนก็แบมือทั้งสองมือเป็นเชิงรับ พระพุทธเจ้าก็ยื่นพระหัตถ์ของพระองค์ออกมาแล้วเอาของสิ่งหนึ่งมาวางไว้บนมือของผู้เขียน สิ่งที่ผู้เขียนเห็นคือ เป็นไม้ มันคงเป็นไม้อะไรสักอย่างหนึ่ง แต่พอมาอยู่ในมือผู้เขียนแล้ว มันเหมือนไม้เท้า ใช่! มันเป็นไม้เท้า ผู้เขียนก็ยังไม่ได้คิดอะไรเพียงแต่รับมาแล้ว พระองค์ก็ตรัสว่า “รับไปเถอะนี่คือธรรมาวุธ วันหนึ่งข้างหน้าเธอจะได้ใช้มันพิสูจน์ความจริงและเพื่อประกาศธรรม เอาละ! ขอให้เธอจงมั่นใจและจงเชื่อในสิ่งที่เธอเห็น” พระสุรเสียงของพระองค์นั้นอ่อนโยนมีพลังฟังแล้วทำให้เกิดปีติยินดีเป็นยิ่งนัก และก่อนพระพุทธเจ้าจะเสด็จกลับไปพระองค์ก็ทรงตรัสอีกว่า “ศาสนานี้ต้องพึงเธออีกคนแล้วนะ หนุ่มน้อย เราต้องไปแล้ว” สิ้นสุรเสียงของพระองค์ พระอรหันต์ทั้งหลายก็ส่งเสียงขึ้นว่า “พระพุทธเจ้าเสด็จกลับแล้ว พระพุทธเจ้าเสด็จกลับแล้ว พระพุทธเจ้าเสด็จกลับแล้ว สา...ธุ” ดังไปทั่วทั้งอัฒจันทร์นั้น ดังไปทั่วทั้งโถงถ้ำนั้น เมื่อพระองค์เสด็จกลับไปได้ซักพักหนึ่ง พระอรหันต์ทั้งหลายที่ลงมาก็เหาะกลับขึ้นไปทั้งหมดเหมือนกัน อัฒจันทร์ที่แน่นไปด้วยพระอรหันต์เมื่อซักครู่นี้ก็กลายเป็นที่ว่างทั้งหมดเพราะพระอรหันต์ก็ลอยกลับขึ้นไปในที่ของตน ถ้ำด้านบนก็เริ่มปิดตัวเองกลับเข้าสู่ความมืดฤษีทั้ง ๔ ตนนั้นก็พูดขึ้นว่า “ได้เวลากลับแล้วหนุ่มน้อย ไปเถอะ” ฤษีก็เดินนำผู้เขียนเหมือนเดิมออกจากปากถ้ำประตูถ้ำก็ปิด ยักษ์ทั้งสองตนก็ยืนอยู่ในท่าเดิม ผู้เขียนก็ยังไม่วายที่จะกลับไปล้อเล่นกับยักษ์ทั้งสองตนนั้นว่า “ขอบคุณนะครับพี่ยักษ์” แล้วก็เดินตามฤษีไปที่เรือสำเภา เรือสำเภาลำนั้นเมื่อเราขึ้นกันแล้ว คราวนี้ก็กลับเป็นปกติก็คือลงจากที่สูงมาสู่ที่ต่ำกลับมาสู่ที่เดิมกลับมาท่าน้ำที่เดิมที่ผู้เขียนนั่งอยู่ในตอนแรก ฤษีทั้ง ๔ ตนก็มาส่งผู้เขียนที่เดิม ฤษีทั้ง ๔ ตนก็บอกกับผู้เขียนว่า “เข้าใจแล้วหรือยังที่ว่า นั่นไม่ใช่หนทางของท่าน นี่แหละคือหนทางของท่านจำไว้ จงตั้งใจเพื่อสิ่งนี้ ถึงเวลาที่เราต้องไปแล้ว เราทั้ง ๔ ต้องไปแล้ว หวังว่าเราคงจะมีโอกาสได้พบกันอีก” ก่อนที่ฤษีทั้ง ๔ ตนจะหายไป ผู้เขียนยังไม่วายที่จะไม่ลืมถาม จึงถามออกไปว่า “ไหนๆเราก็ได้รู้จักกันแล้ว เราอยากจะขอทราบนามพวกท่านทั้ง ๔ ได้โปรดบอกนามของพวกท่านแก่เราด้วย” “อ๋อ! ได้สิ เราทั้ง ๔ นี้ ก็คือฤษี ๔ ธาตุ ก็คือเรียกง่ายๆตามประสาโลกก็คือ ฤษีดิน น้ำ ลม ไฟ นั่นเอง ถ้าจะระลึกถึงเราก็ให้ระลึกถึงฤษี ๔ ธาตุ พวกเราเป็นสารถีผู้นำทาง ถึงเวลาที่พวกเราต้องไปแล้ว ขอให้ตั้งใจนะหนุ่มน้อย” เราก็ต่างร่ำต่างลากันตามสมควร ฤษีทั้ง ๔ ตนนั้นก็จากไป พอฤษีทั้ง ๔ ตนนั้นไปแล้ว ผู้เขียนก็กลับมามีสภาวะปกติคือรู้สึกตัวในสมาธิของตนเหมือนเดิม พิจารณาเรื่องราวทั้งหลายที่เกิดขึ้นแล้วจะว่าเชื่อ ๑๐๐% ก็ไม่เชิง แต่จะว่าไม่เชื่อก็แทบจะไม่มีอะไรที่ไม่น่าจะเชื่อ ก็เพราะว่าทุกอย่างที่เราปฏิบัติมาถึงเวลานี้มันก็เป็นเหตุผลที่เราจะไปได้ เราจะไปพบได้ ไปเห็นไปเจอได้ (อ้าวลืมบอกไปว่ามันยังมีเหตุการณ์ที่ทำให้เรามั่นใจว่าเราจะได้ไปตรงนี้ก่อนหน้านี้ แต่มันไม่ใช่เรื่องการไปคุยกับผี แต่เป็นเรื่องของสิ่งที่ผู้ปฏิบัติพึงจะได้รู้ได้เห็นอะไรที่พิเศษขึ้นไป แต่ผู้เขียนจะเก็บเอาไว้ก่อนแล้วกัน ไว้วันหนึ่งถ้ามีโอกาสก็จะนำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง เพราะว่าถ้าเล่าตอนนี้มันก็ไม่เกี่ยวเรื่องคุยกับผี ก็เลยตั้งใจว่าเล่าเรื่องคุยกับผีไปดีกว่าไอ้เรื่องที่แปลกกว่านั้นจะไม่เล่า) ดังนั้นไอ้สิ่งที่ทำให้ไม่เชื่อเนี่ย ก็แทบจะไม่มีเลยในขณะเดียวกันใจก็คิดไปว่ามันมีหลักฐานนี่นา ก็อธิษฐานจิตว่า ถ้าหลักฐานชิ้นเดียวที่พระพุทธเจ้านั้นประทานให้มามีอยู่จริง ขอให้ลืมตาขึ้นแล้วได้เห็นไม้เท้าอันนั้นด้วยพอสิ้นคำอธิษฐานนั้น ผู้เขียนออกจากสมาธิ ค่อยๆลืมตาขึ้นแล้วมองไปทางด้านขวามือของผู้เขียนนั้น ปรากฏว่ามีไม้เท้าอันหนึ่งวางอยู่ข้างๆซึ่งพอผู้เขียนเห็นไม้เท้าเท่านั้นแหละมันปลื้มปีติจนน้ำตาไหลพรั่งพรูออกมา ขนลุกชันไปทั่วร่างกาย ที่เขาเรียกว่าขนลุกทั่วสรรพางค์กาย เป็นความปีติที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้ประสบสิ่งเหล่านี้มาก่อนเลย คิดว่าถ้าใครได้เจอประสบการณ์อย่างผู้เขียนก็คงมีอาการเช่นเดียวกัน ตื่นเต้น ดีใจเป็นที่สุด หยิบไม้เท้าอันนั้นขึ้นมาไว้ในมือแล้วก็พนมมือขึ้นอธิษฐานจิตถึงพระพุทธเจ้าว่า ข้าพระองค์เชื่อแล้ว ข้าพระองค์เชื่อแล้ว ว่าพระองค์ยังอยู่ ข้าพระองค์เชื่อแล้วว่าพระองค์ยังอยู่ วันนั้นเป็นวันที่ผู้เขียนดีใจที่สุดในชีวิต ผู้เขียนนั้นได้เอาไม้เท้านั้นไปทำในสิ่งที่ควรทำกับไม้เท้าอย่างดีที่สุดที่ผู้เขียนจะสามารถทำได้ในเวลานั้นจวบจนวันนี้ เกือบ ๑๒ ปีแล้วไม้เท้านั้นก็ยังอยู่ข้างกายผู้เขียนตลอดเวลา วันหนึ่งข้างหน้าถ้ามีโอกาสผู้เขียนก็อยากจะให้ทุกคนได้ดูได้สัมผัสไม้เท้าอันนี้เหมือนกันมันเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของผู้เขียนตลอดจนทุกวันนี้ เรื่องราวของผีตัวที่ ๗ ที่ผู้เขียนเล่ามานี้ ผู้เขียนไม่ปรารถนาว่าจะมีคนเชื่อ แต่ผู้เขียนขอรับรองด้วยศีลที่ผู้เขียนหมั่นบำเพ็ญหมั่นรักษาอยู่สม่ำเสมออยู่ตลอดเวลา แม้กระทั้งปัจจุบัน ว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับตัวผู้เขียน เวลานั้นผู้เขียนเป็นเด็กหนุ่มอายุยังไม่เต็ม ๒๕ปีบริบูรณ์เลยก็มีประสบการณ์อย่างนั้น จึงอยากให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายที่มีความตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ขอให้ตั้งใจจริงๆ เหมือนที่ผู้เขียนตั้งใจ แล้วท่านอาจจะได้ประสบ แบบเดียวกับผู้เขียน อย่างน้อยๆก็อาจจะมีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้ากัน เรื่องราวของผีตัวที่ ๗ ก็คงจบไว้แต่เพียงเท่านี้ ฯ

ความคิดเห็น