คุยกับผีตัวที่ 6 หิรัญญยักษ์

คุยกับผีตัวที่ 6 หิรัญญยักษ์

หลังจากวันก่อนได้เจอกับผีรุกขเทวดาวันนี้ หลังจากฉันอาหารเพล (ขณะนั้นถือศีล 8 อยู่ที่วัดเรียกว่าการฉัน) ฉันเสร็จก็กลับไปที่กุฏิ ผู้เขียนผักผ่อนซักครู่ก็ออกไปเดินจงกรมหลังจากเดินจงกรมประมาณซักครึ่งชั่วโมง ผู้เขียนก็ไปนั่งสมาธิ และแล้วผู้เขียนก็ได้พบกับผีตัวที่ 6 ในบ่ายวันนั้น เรื่องก็มีอยู่ว่าขณะที่ผู้เขียนกำลังนั่งสมาธิ ซักพักหนึ่งก็ปรากฏว่ามีสิ่งๆหนึ่งเกิดขึ้นในสมาธิ ซึ่งตอนแรกผู้ขียนก็ไม่รู้ว่าคืออะไรแต่ที่แน่ๆ สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าผู้เขียนนั้น มีขนาดใหญ่โตมากผู้เขียนก็ค่อยๆเพ่งมองลงไปที่สิ่งที่เห็นนั้น เมื่อเห็นสิ่งนั้นชัดเจน จึงได้รู้ว่าสิ่งที่มาปรากฏต่อหน้าผู้เขียนในเวลานี้คือยักษ์ตนหนึ่ง ตัวสูงใหญ่เท่าภูเขา เมื่อเทียบกับผู้เขียนแล้วสูงเพียงตาตุ่มของยักษ์เท่านั้น ยักษ์นั้นมีหน้าตาดุร้ายมีเขี้ยวใหญ่มาก ในมือข้างหนึ่งถือกระบองหนามอันใหญ่มาก ผู้เขียนเพ่งมองซักพักยักษ์ตนนั้นก็พูดขึ้นว่า มึงจงลุกขึ้นไปเดี๋ยวนี้ ผู้เขียนก็เฉย แล้วยักษ์ก็พูดขึ้นครั้งที่สองว่า มึงจงลุกขึ้นไปจากที่ตรงนี้เดี๋ยวนี้ ผู้เขียนนั่งนิ่งเฉย แล้วยักษ์นั่นก็พูดขึ้นเป็นครั้งที่สามว่า มึงจงลุกขึ้นไปจากที่ตรงนี้เดี๋ยวนี้ถ้าไม่เช่นนั้นมึงอย่าหาว่ากูไม่เตือน ผู้เขียนก็ยังคงนิ่งเฉยอยู่ ถามในใจตนเองตอนนั้นว่ากลัวยักษ์ตนนี้ไหม ในใจตัวเองก็ตอบตนเองว่ากลัวเหมือนกัน แต่ตอนนี้จะให้ลุกขึ้นจากที่ตรงนี้คงไม่ได้แม้ยักษ์ตนนี้จะทำอะไรเราจนถึงแก่ความตายไปตรงนี้ตอนนี้ ก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไป และผู้เขียนก็ตัดสินใจไม่ลุกขึ้นยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น แล้วยักษ์ตนนั้นก็พูดขึ้นอีกว่า งั้นมึงจงตายเสียเถอะสิ้นคำพูดของยักษ์นั้นยังไม่ทันที่ผู้เขียนจะตั้งตัว ยักษ์นั้นก็เงื้อกระบองแล้วฟาดลงมาที่ตัวผู้เขียนเต็มแรงตั้งแต่ศรีษะ ตอนนั้นผู้เขียนมีความรู้สึกว่าตัวเองต้องตายแน่เพราะถูกฟาดด้วยกระบองใหญ่ขนาดนั้น พร้อมกับรู้สึกตัวเองว่า ตัวเองจมอยู่ในดินตรงบริเวณที่นั่งอยู่นั่น ในขณะที่ผู้เขียนกำลังคิดว่าเราคงตายแน่แล้วนั้นยักษ์นั้น ก็ยังคงฟาดกระบองลงมาที่ร่างที่จมดินของผู้เขียนอย่างไม่ยั้ง ความรู้สึกเจ็บปวดเกิดขึ้นกับผู้เขียน ความรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตายก็กำลังเกิดขึ้นในความคิด แต่ด้วยความตั้งใจว่าจะไม่ลุกจากที่ตรงนั้นแม้ตายก็ยอมทำให้ยังคงฝืนอยู่นิ่งๆและไม่พูดไม่จาอยู่อย่างนั้น เมื่อยักษ์นั้นเห็นผู้เขียนนิ่งไปจึงหยุดฟาดกระบองลงมา แล้วเอามืออีกข้างหนึ่งมาคุ้ยหาร่างผู้เขียน เพราะยักษ์นั้นคงคิดว่าผู้เขียนคงต้องตายแน่ แต่เมื่อเขาเจอร่างผู้เขียนยักษ์นั้นก็รู้ว่าผู้เขียนยังไม่ตาย ผู้เขียนรู้สึกว่า ยักษ์นั้นมีความโกรธรุนแรงมากขึ้น จึงโยนร่างผู้เขียนลงดินแล้วก็ใช้เท้าอันใหญ่โตโมโหฬารนั้นเหยียบลงบนร่างของผู้เขียน ใช่คำว่าเหยียบคงน้อยไปผู้เขียนขอใช้คำว่ากระทืบเท้าลงมาบนร่างของผู้เขียนอย่างไม่ยั้งครั้งแล้วครั้งเล่า จนผู้เขียนคิดว่ายักษ์นั้นคงหน่ำใจแล้วและคงคิดว่าผู้เขียนตายแล้วมันจึงหยุดกระทืบ ยกเท้าออกจากร่างผู้เขียน และเอามือลงมาคุ้ยหาร่างผู้เขียน เมื่อยักษ์นั้นเห็นร่างผู้เขียนมันก็จับขึ้นมาเหมือนเดิมผู้เขียนยังคงไม่ตาย แต่ในความรู้สึกของผู้เขียนตอนนั้นรู้สึกว่าร่างกายมันแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี แต่ด้วยความตั้งใจจึงยังคงนิ่งเฉยอยู่ไม่ร้องโอดครวญแม้จะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม เมื่อยักษ์เห็นดังนั้นผู้เขียนรู้สึกว่าเขายิ่งทวีความโกรธรุนแรงขึ้นอีกหลายเท่าและครั้งนี้เป็นครั้งที่ทำให้ผู้เขียนไม่มีวันลืมเหตุกราณ์นั้น นั่นก็คือยักนั้นได้ใช้มือจับขาสองข้างของผู้เขียนในลักษณะให้ผู้เขียนห้อยหัวลงแล้วก็จับตัวผู้เขียนนี้ไปฟาดกับภูเขา ไปฟาดกับต้นไม้ ไปฟาดลงกับแผ่นดิน ฟาดซ้ำอยู่หลายๆครั้ง คือฟาดไปจนกว่ายักษ์นั้นคิดว่าการกระทำอย่างนี้ผู้เขียนคงต้องตายแน่ ยังไงคงไม่รอด เมื่อยักษ์นั้นจับผู้เขียนฟาดจนหน่ำใจแล้วจึงหยุดการกระทำ แล้วโยนร่างของผู้เขียนลงไปที่พื้นดิน แล้วเฝ้าดูอาการว่าผู้เขียนตายหรือยัง สำหรับตัวผู้เขียนแล้วความรู้สึกเจ็บปวด ความรู้สึกว่าร่างกายแหลกเหลวไม่มีชิ้นดีนี้ ความรู้สึกว่ากระดูกทั้งหมดของร่างการนั้นแตกหักหมดแล้วคงต้องตายแน่แล้วคราวนี้ แต่ด้วยความตั้งใจตั้งแต่แรกผู้เขียนจึงรวบรวมกำลังของตนอีกครั้งหนึ่ง พยุงตัวเองในสภาพที่ร่างกายแหลกเหลวนั้นลุกขึ้นมานั่งสมาธิในท่าเดิมโดยไม่ปริปากพูดซักคำ แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเสียงร้องไห้ด้วยความเสียใจดังมากระทบโสตของผู้เขียนผู้เขียนจึงตามเสียงนั้นไปเพื่อจะให้รู้ว่ามาจากไหน แล้วผู้เขียนก็รู้ว่าเสียงร้องไห้ด้วยความเสียใจนั้นเป็นเสียงของยักษ์ตนนั้น แม้ผู้เขียนจะเจ็บปวดซักเพียงใดก็ตามและแม้จะรู้ว่ายักษ์ตนนี้ไม่ได้เป็นมิตรต่อผู้เขียนเลย แต่ด้วยเมตตาจิตที่เรามี เมื่อเห็นยักษ์นั้นร้องไห้เสียใจจึงได้ถามยักษ์นั้นออกไปว่า ท่านยักษ์เอย ท่านทำร้ายเราขนาดนี้แล้ว ไยท่านถึงต้องร้องไห้เสียใจเล่า เมื่อยักษ์ได้ยินคำถามของผู้เขียนจึงตอบกลับมาว่า ที่เราเสียใจนั้นก็เพราะว่า เราได้ทำร้ายผู้ที่มีบุญบารมีมากอย่างท่าน สิ้นคำพูดของยักษ์นั้น ยักษ์นั้นก็ย่อตัวเองลงมาจนมีขนาดเท่ากับคนปกติ ก็คือเท่ากับผู้เขียน แล้วเดินมาตรงหน้าของผู้เขียนพร้อมกับคุกเข่าลงประนมมือไว้ที่หน้าอกแล้วก้มลงกราบผู้เขียน แล้วพูดว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้ามีนามว่า หิรัญญยักษ์ ข้าพเจ้านี้มีหน้าที่ทดสอบจิตใจผู้กระทำความเพียรทั้งหลาย เมื่อสมควรแก่เวลาที่ผู้บำเพ็ญเพียรนั้นจะได้รู้ได้เห็นสิ่งที่ยากที่จะมีผู้ได้รู้ได้เห็น สิ่งที่ข้าพเจ้ากระทำต่อท่านเป็นงานของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามิได้มีจิตใจที่ชั่วร้ายหยาบกระด้างดั่งที่ท่านเห็นเลย แม้ซักน้อย ทุกอย่างที่ทำไปเป็นเพราะหน้าที่ ขอท่านผู้เจริญจงโปรดเมตตาอโหสิกรรมและให้อภัยต่อการกระทำของข้าพเจ้านี้ด้วยเถิด เมื่อผู้เขียนได้ฟังดังนั้นจึงได้พูดกับยักษ์นั้นออกไปว่าท่านหิรัญญยักษ์ ท่านอย่าได้กังวลไปเลย เรามิเคยโกรธท่านและไม่คิดจะเอาโทษใดๆจากท่านเลย แม้เราจะรู้ว่าเราอาจจะต้องตายด้วยมือของท่านก็ตามท่านจงสบายใจเถิด เราขออโหสิกรรมให้ท่าน ยักษ์นั้นก็ก้มลงกราบอีกครั้งหนึ่งแล้วก็พูดขึ้นว่า ขอบคุณท่านมาก ท่านผู้เจริญ ผู้เขียนจงถามขึ้นว่า เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้มันเป็นอย่างไรแล้วสิ่งที่ท่านกระทำทั้งหมดนี้มีเหตุผลยังไง ขอท่านหิรัญญยักษ์จงเล่าให้เราฟัง เพื่อให้เราได้รับความกระจางแก่ใจของเราด้วยเถิด หลังจากนั้นหิรัญญยักษ์ก็เราเรื่องทั้งหมดให้ฟังว่า การที่ผู้ประพฤติพรรมจรรย์ หรือผู้บำเพ็ญตนคนใดคนหนึ่งนั้น ได้มีความตั้งใจประพฤติตนด้วยการเจริญสมาธิจนได้ฌาณแล้ว แต่ละขั้นของการบำเพ็ญฌาณนั้นจะมีการทดสอบในรูปแบบต่างๆที่ท่านได้ประสบมาตั้งแต่แรกในแต่ละขั้นของท่าน ข้าพเจ้าก็เป็นอีกด่านหนึ่งแต่ด่านนี้เป็นด่านสำคัญ เพราะยากมากที่จะมีคนผ่านไปได้ส่วนใหญ่แล้วเมื่อใครก็ตามได้เจอกับข้าพเจ้าในสภาพเดียวกันกับที่ท่านเจอเขามักจะถอดใจหยุดการกระทำความเพียรด้วยความกลัวแล้วหนึไปทุกราย นอกจากพวกที่มีกำลังจิตเข้มแข็งอย่างท่านเท่านั้นจึงจะสามารถผ่านไปได้ และเวลานี้เมื่อข้าได้ทดสอบท่าน แล้วท่านไม่เกรงกลังกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้จะต้องตายก็ตามมันพิสูจน์แล้ว่าท่านจะสามารถเดินทางต่อไปในที่ๆน้อยคนนักจะได้ไปพบไปเห็น แต่ข้าพเจ้าจะไม่บอกท่านหรอกว่ามันคืออะไร เมื่อท่านได้ไปถึงที่นั้นแล้วท่านจะรู้เองว่า ไม่แปลกใจเลยว่าทำมั๊ยต้องเจอข้าพเจ้า แต่เวลานี้ข้าพเจ้ามีความสุขใจที่ได้พบกับคนอย่างท่านอีกคนหนึ่ง ขอให้ท่านได้รู้ไว้เถอะว่าท่านเป็นผู้ถูกเลือกแล้ว ท่านผ่านการทดสอบแล้ว หนทางข้างหน้าจะไม่มีอะไรมาขวางการบำเพ็ญเพียรของท่านได้อีก ส่วนใหญ่แล้วบุคคลที่เป็นอย่างท่านที่ข้าพบเจอมาล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีบุญบารมีมาก หรือเป็นผู้ที่ได้อภิญญา หรือผู้ที่จะได้เป็นพระอริยเจ้า หรือแม้แต่ผู้ที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้า ถึงจะผ่านผมไปได้ แต่ผมยังไม่บอกหรอกว่าสำหรับท่านแล้วคืออะไร เมื่อท่านไปถึงที่นั้นท่านจะเข้าใจทุกอย่างเอง ได้เวลาที่ข้าต้องไปแล้ว เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ผู้เขียนจึงพูดขึ้นว่า เราไม่รู้หนทางข้างหน้าจะเป็นยังไง แต่เราก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไปให้ถึงที่สุดให้ได้ ยังไงเสียก็ต้องขอบคุณท่านมากที่เล่าเรื่องราวทั้งหลายให้เราฟัง ขอท่านจงไปเถอะ แล้วหิรัญญยักษ์นั้นก็ก้มลงกราบผู้เขียนอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงลุกขึ้นแล้วเดินจากไป แล้วค่อยๆหายไป เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบผู้เขียนยังไม่ได้ออกจากสมาธิเลยยังอยู่ในท่านั่งเหมือนเดิม ผู้เขียนได้พิจารณาถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบ จึงตั้งอธิษฐานในใจว่าหนทางข้าหน้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตามจะให้ละออกจากความเพียรนี้คงไม่มีวัน เรื่อราวของหิรัญญยักษ์หรือผีตัวที่ 6 ก็มีเท่านี้ หนทางข้างหน้าจะเป็นยังไง จะเป็นตามที่หิรัญญยักษ์นั้นบอกไว้แล้วที่ๆจะไปนั้นผู้เขียนจะไปถึงได้มั้ย ขอผู้อ่านทั้งหลายติดตามได้ในเรื่องราวของการคุยกับผีตัวที่ 7>>

ความคิดเห็น