คุยกับผีตัวที่ 2 เมืองพญานาค


เรื่องราวของผีตัวที่ ๒ นี้ 
ผู้เขียนได้ประสบพบเจอมาหลังจากที่ได้พบกับท่านพระยายมมาไม่นานเวลาผ่านไปประมาณ ๘ – ๙ เดือน ผู้เขียนก็ได้พบกับผีตัวที่ ๒ วันนั้นเป็นวันที่ ๒ ที่ผู้เขียนได้ไป ถือศีล ๘ ที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดชัยนาท คืนวันที่ ๒ นั่นเอง ขณะที่ผู้เขียนได้ออกจากกรรมฐานเพื่อจะจำวัด ขณะที่ผู้เขียนจำวัดผู้เขียนก็>>
ได้เข้ากรรมฐานด้วยอิริยาบทนอน หลังจากนอนไปได้สักพักหนึ่ง ผู้เขียนมีความรู้สึกว่า ที่กุฏิที่ผู้เขียนจำวัดนี้ครึ่งกายด้านขวาของผู้เขียนเหมือนนอนแช่อยู่ในน้ำ ซึ่งเป็นแม่น้ำใหญ่มีเสียงน้ำไหลดังมากระทบที่ใบหูด้านขวาของผู้เขียน ผู้เขียนได้ตั้งใจฟังอยู่นาน สักพักก็ได้ยินเสียงพูดดังมาว่า “ท่านผู้ทรงศีล ท่านอยากไปเที่ยวเมืองบาดาลหรือไม่ ถ้าอยากไปข้าจะอาสาพาท่านไปเที่ยวชมเมืองบาดาลเอง” ขณะนั้นผู้เขียนยังเข้ากรรมฐานในอิริยาบทนอนอยู่ ได้ถามเสียงนั้นไปว่า “ท่านเป็นใคร” “ข้าคือพญานาคเป็นทูตแห่งเมืองบาดาล พญานาคราชเจ้าเมืองบาดาลใช้ให้ข้า มาพาท่านไปเที่ยวชมเพื่อจะได้รู้ความจริงที่มีอยู่ในธรรมชาติในเรื่องของภพภูมิต่างๆที่มีอยู่ และเพื่อยืนยันในพระพุทธพจน์เรื่องของภพภูมิต่างๆนั้นมีอยู่จริง” ผู้เขียนก็ถามกลับไปอีกว่า “แล้วจะไปอย่างไร เมืองบาดาลอยู่ในน้ำลึก แล้วเราจะลงไปได้อย่างไร” “ความจริงแล้วเมืองบาดาลไม่ได้อยู่ในน้ำลึก แต่ซ้อนอยู่กับภพภูมิของมนุษย์การที่จะเดินทางไปนั้นต้องไปด้วยจิต เวลานี้เราก็สื่อสารกันด้วยจิต ภพภูมิต่างๆที่มีอยู่ทั้งหมด ๓๒ ภพภูมิ ไปมาหาสู่กันได้ด้วยจิต ท่านคงเข้าใจแล้วนะดังนั้นการที่ท่านจะไปเมืองบาดาล ท่านก็ต้องไปด้วยจิต ตอนนี้ขอให้ท่านกำหนดจิต ให้เป็นนามกายและแตะที่ลำตัวของข้าเพียงเท่านี้ท่านก็จะไปได้ ได้เวลาแล้วไปกันเถอะ” ผู้เขียนได้ทำตามที่ ทูตพญานาคนั้นบอกกำหนดจิตเป็นนามกายแล้วเอามือไปแตะที่ลำตัวพญานาคนั้น เพียงเท่านี้ผู้เขียนก็สามารถไปได้ มันรวดเร็วมาก ไปเหมือนกับเหาะไป นี่หรือที่เรียกว่าเดินทางด้วยจิต น่าอัศจรรย์จริง ครู่เดียวเราก็มาถึงทางเข้าเมืองบาดาล ระหว่างทางได้พบเห็น สิ่งแปลกประหลาด ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลยมากมาย ทั้งเต่ายักษ์ จระเข้ยักษ์ ปลายักษ์รูปร่างแปลกๆมากมาย พญานาคนับร้อย นับพันตัว คนในเมืองบาดาลซึ่งก็คือ เหล่าพญานาคที่มีฤทธิ์สามารถแปลงรูปให้เหมือนมนุษย์ได้ เมื่อเข้าไปในเมืองบาดาล พญานาคราชและมเหสีพร้อมทั้งบริวารมาต้อนรับ หลังจากพูดคุยกันสักพัก พญานาคราชก็สั่งพญานาคที่เป็นทูตให้พาผู้เขียนไปเที่ยวชมเมืองให้ทั่ว แล้วพญานาคราชพร้อมมเหสีและบริวารทั้งหลายก็กล่าวคำลา และกล่าวว่าดีใจที่ได้ต้อนรับมนุษย์ผู้มีใจบริสุทธิ์อย่างผู้เขียน หวังว่าเราคงได้พบกันอีกแล้วทั้งพญานาคราช มเหสีและบริวารก็จากไป ตอนนี้มีเพียงผู้เขียนกับทูตพญานาค “ไปเที่ยวชมเมืองบาดาลของข้ากันเถอะ ก่อนอื่นข้าจะพาท่านไปดูที่เก็บสมบัติของเมืองบาดาลก่อน” ผู้เขียนไม่พูดอะไร ได้แต่ตามไป “ถึงแล้ว นี่ไงทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเมืองบาดาล” ผู้เขียนถึงกับตะลึง มันมากมายมหาศาล ทั้งเพชร นิลจินดา ทองคำ เงิน เครื่องประดับต่างๆ เต็มไปหมด “ท่านอยากได้มั้ย ถ้าอยากๆได้ชิ้นไหนให้ท่านหยิบไปได้เลย” ทูตพญานาคถามผู้เขียน ผู้เขียนรู้สึกว่าเหมือนถูกลองใจ หรือทดสอบใจ ทูตพญานาคนี้คงอยากรู้ว่าผู้เขียนมีกิเลส มีความโลภมากแค่ไหน“เราไม่อยากได้หรอก เราเป็นผู้ทรงศีล เรามาเพราะท่านเชิญเรามา เรามาเพื่อเปิดหูเปิดตาเพื่อชมบ้านเมืองของท่านมิได้เพื่อมาเอาสมบัติของท่าน เราประพฤติธรรมเพื่อปัญญาอันยิ่งมิใช่เพื่อสมบัติ” “พวกเรารู้อยู่แล้วว่าท่านมีจิตใจที่บริสุทธิ์ไม่มีความโลภ เราเพียงแต่ลองใจท่านเท่านั้น ท่านรู้มั้ยว่า ถ้าท่านมีความโลภอยากได้สมบัติชิ้นใดชิ้นหนึ่งแล้วเอากลับไปท่านจะต้องตายเพราะความโลภของตัวเอง เพราะอย่างนี้เราถึงเชิญท่านมา ไปเถอะเราไปที่อื่นกันต่อ” แล้วทูตพญานาคนั้นก็พาผู้เขียนไปที่อีกที่หนึ่ง นั่นคือแดนประหารนักโทษของเมืองบาดาลขณะนั้นก็มีการประหารนักโทษอยู่ ซึ่งนักโทษเหล่านั้นก็เป็นพญานาคทั้งนั้น ผู้เขียนจึงถามขึ้นว่า “ในเมืองบาดาลนี้มีการทำผิดกันด้วยหรือและมีการประหารกันด้วยหรือ” “ทุกภพภูมิก็ต่างมีกฎของภพภูมิของตัวเองไว้ปกครองกันเอง ใครทำผิดก็ต้องถูกทำโทษเหมือนโลกมนุษย์นั่นแหละ นี่คือลานประหารนักโทษที่กระทำความผิดร้ายแรง เขาจะถูกตัดศีรษะให้ขาดจนตายไป”“ถ้าเขาตายไปแล้วเขาจะไปไหน” ผู้เขียนถาม “ก็ไปเกิดในภพใหม่ที่ดีขึ้นหรือเลวลงตามบุญและบาปที่เขาทำไว้ ถ้าทำบาปไว้มากก็ไปนรก ถ้าทำบุญไว้มากก็จะไปเกิดสุคติโลกสวรรค์ หรือในโลกมนุษย์ เอ้อ ความจริงเมืองบาดาลตั้งนี้อยู่ในสวรรค์ชั้นที่หนึ่งพวกพญานาคจัดอยู่ในภพภูมิของเทวดา ในสวรรค์ชั้นที่หนึ่งนี้มีเมืองอยู่ ๔ เมืองเมืองพญานาคหรือเมืองบาดาลนี้เป็นหนึ่งใน ๔ เมือง แต่ละเมืองประตูเมืองที่ติดต่อกัน ไปมาหาสู่กันได้” “แล้วประตูนั้นไปไหน” ผู้เขียนถามเมื่อเห็นประตูเมืองด้านหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า “ประตูเมืองด้านนี้เป็นประตูที่ใช้เข้าออกเมืองอสูรหรือเมืองยักษ์ซึ่งเป็นอีกเมืองหนึ่งที่ตั้งอยู่บนสวรรค์ชั้นที่หนึ่งด้วยกัน ไปสิข้าจะพาท่านเข้าไปเที่ยวในเมืองอสูร” ผู้เขียนไม่พูดอะไรได้แต่ตามพญานาคนั้นไปเพราะอยากเห็นเมืองของชาวอสูรเหมือนกันอยากจะรู้ว่าพวกอสูรนั้นอยู่กันอย่างไร ครั้นพอได้เข้าไปในเมืองอสูรแล้วนั้นก็ได้พบเห็นชาวเมืองซึ่งบ้างก็มีรูปร่างหน้าตาไม่แตกต่างจากเราเลยบ้างก็มีหน้าตาเป็นยักษ์แต่ก็มีรูปร่างพอๆกันกับเรา นั่นเพราะว่าในยามปกติพวกอสูรหรือยักษ์ที่เรารู้จักกันนั้นก็จะอยู่กันอย่างสงบโดยเฉพาะฝ่ายที่เป็นสัมมาทิฐินั้นแทบจะไม่ใช้ฤทธิ์ใช้เดช แปลงร่างให้ใหญ่โตน่ากลัวเที่ยวอาละวาดใครเลย จะมีก็แต่พวกที่เป็นมิจฉาทิฐิ นิสัยเกเรเท่านั้นที่ทำ ขณะที่กำลังเข้าไปนั้น ก็มีพวกอสูรกลุ่มหนึ่งมาต้อนรับ หนึ่งในนั้นแนะนำตัวเองว่าเป็นเจ้าเมืองอสูรมีหน้าที่ปกครองดูแลเหล่าอสูรในเมืองนี้ให้อยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และยังแนะนำอสูร ตนอื่นๆ มีอสูรที่เป็นมเหสีของเจ้าเมือง และบรรดาเจ้าชายเจ้าหญิง ซึ่งมีหลายองค์ แต่ละองค์ก็ทั้งหล่อทั้งสวยกันทุกพระองค์ หลังจากแนะนำตัวกันเรียบร้อยแล้วท่านเจ้าเมืองก็พาเราไปที่ห้องเลี้ยงรับรองในราชฐานท้องพระโรง มีอาหารมากมายอยู่บนโต๊ะอาหารล้วนแล้วแต่เลิศรสและวิจิตรพิศดารตามกำลังบารมีของพวกทิพย์ที่จะ พึงเนรมิตได้ แน่นอนระดับเจ้าเมืองเนรมิตแล้วย่อมเป็นเลิศ ขณะรับประทานอาหารกันไปพวกเราก็พุดคุยเรื่องต่างๆมากมายตามความสนใจใคร่ถามของผู้เขียน ทุกอย่างที่เป็นคำตอบนั้นล้วนแล้วแต่คล้ายกันกับวิถีชีวิตของชาวมนุษย์ในโลกของเรา แตกต่างก็ตรงที่ในโลกแห่งสวรรค์แห่งความเป็นทิพย์นั้นไม่มีการประกอบพานิชกิจ คือการค้าขาย ไม่มีกำไรขาดทุน ไม่มีดอกเบี้ย ไม่มีการเสียภาษี เพราะทุกอย่างเป็นทิพย์ทั้งหมด เพียงแค่คิดก็บังเกิดขึ้นได้เลย แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมาจากทานที่ตนได้เคยทำไว้ในครั้งก่อนๆที่เคยเกิดมาเป็นมนุษย์มิใช่ว่าจะได้ทุกอย่าง เรียกง่ายๆว่า ทุกสิ่งทุกอย่างของพวกทิพย์นี้นั้นเป็นไปตามอำนาจบุญและบาปที่ตนสั่งสมมา ถ้าไม่เคยสั่งสมมาก็ไม่สามารถจะเนรมิตได้เช่นกันแม้ว่าจะมีฤทธิ์มากแค่ไหนก็ตาม หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้วท่านเจ้าเมืองอสูรก็พาไปชมมหรสพการแสดงรื่นเริงซึ่งเป็นความชอบของชาวเมืองนี้ โรงมหรสพของเขาใหญ่โตมากคล้ายกับสนามกีฬาฟุตบอลของชาวมนุษย์ มีสนาม มีอัฒจรรย์ใหญ่โต มีการฟ้อนรำของเหล่าอสูรนางฟ้า การแสดงต่างๆล้วนแล้วแต่งดงาม กว่าของมนุษย์เรียกว่าหลายร้อยเท่าทีเดียว แต่มีการแสดงอยู่อย่างหนึ่งที่ผู้เขียนยังประทับใจไม่รู้ลืมมาจนถึงวันนี้แม้จะผ่านไปนับสิบปีแล้วก็ตาม การแสดงนั้นคือ การแสดงระบำช้าง ช้างที่นำมาแสดงให้เราดูกันนั้น ตัวใหญ่มาก ใหญ่กว่าในโลกเราเกือบสิบเท่า ท่านคิดดูเถิดช้างตัวใหญ่ขนาดนั้นเต้นระบำให้เราดูถ้าจำไม่ผิดเวลานั้นผู้เขียนหัวเราะไม่หยุดเลยตลอดการแสดง ประทับใจมาก และแล้วเวลาที่ต้องกลับก็มาถึง เจ้าเมืองอสูรก็มาส่งที่ประตูเมือง แล้วกล่าวว่า “ถ้าท่านไม่ปรารถนาจะกลับจะอยู่ที่เมืองอสูรตลอดไปก็ไม่ขัดข้อง เราจะอภิเษกพระธิดาของเราให้ท่าน เราปรารถนาให้ท่านอยู่กับเราที่นี่ ท่านเป็นคนดี” ผู้เขียนได้ฟังดังนั้นจึงตอบไปว่า “เราขอขอบคุณในน้ำใจไมตรีที่ท่านมีต่อเรา แต่เรายังมีกิจที่ต้องทำ การมาที่นี่มิใช่กิจที่เราตั้งใจไว้ ดังนั้นเราจำเป็นต้องกลับแล้ว วันข้างหน้าถ้ามีโอกาสเราคงได้พบกันอีก ลาก่อน” “ถ้าท่านมีความตั้งใจที่จะกระทำกิจให้สำเร็จขอความสำเร็จจงมีแก่ท่านตามความปรารถนา ลาก่อน” “ขอบคุณท่านอีกครั้งสำหรับคำอวยพร ลาก่อน” และแล้วผู้เขียนพร้อมกับทูตพญานาคก็เดินทางออกจากเมืองอสูร “ท่านอยากจะไปไหนต่ออีกมั้ย” ทูตพญานาคนั้นถาม “ส่งเรากลับเถิดเรามานานมากแล้ววันหน้าเราค่อยมาเที่ยวกันใหม่” สักพักหนึ่งก็กลับมาถึงที่กุฏิที่พักก่อนกลับ ทูตพญานาคกำชับว่าอย่าบอกใครเรื่องขุมทรัพย์ที่เห็นขอให้เก็บเป็นความลับ ผู้มีบุญเท่านั้นจึงจะได้เห็น แล้วทูตพญานาคนั้นก็ลากลับไป ทุกอย่างกลับสู่สภาพเดิม ผู้เขียนกำหนดรู้ทุกอย่างโดยฌาน แต่สิ่งที่ได้พบได้เห็นได้รู้ ที่เกิดขึ้นนั้น มันเกินคำบรรยาย ผู้เขียนใช้เวลาพิจารณาเรื่องราวต่างๆอยู่สักพัก แล้วก็นอนหลับไป>>

ความคิดเห็น