คุยกับผีตัวที่ ๙ ผีนับหมื่นขอส่วนบุญ
ได้เวลาที่รอคอยแล้ว วันนี้ก็จะมาเล่าเรื่องราวของผีตัวที่ ๙ เรื่องของเรื่องมันมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีผีทั้งหลายมากมายจะเล่าเรื่องใดก่อนก็จะพิจารณาตามความเหมาะสมเพราะการได้พบกับผีแต่ละตัวมักจะได้ข้อคิดเกี่ยวกับธรรมมะมาด้วยเหมือนกับว่าผีเหล่านั้นมาช่วยแนะนำธรรมมะคือสอนธรรมมะในส่วนที่ยังไม่รู้ไม่เข้าใจ ทำให้เราได้รู้ได้เข้าใจในธรรมมะมากขึ้น เรียกง่ายๆว่าผีมาช่วยสอนธรรมมะมาเป็นเพื่อนกับเรา ร่ายยาวไปแล้วว่าแล้วก็เข้าเรื่องเลยดีกว่า วันนี้คงจะพูดถึงผีอดอยากที่อยู่ตามวัดกันบ้าง เย็นวันนั้นมีควาจำเป็นต้องไปงานศพพ่อของเพื่อนคนหนึ่ง เมื่อไปถึงที่งานเป็นเวลาประมาณ ๑๙.00 น. ก่อนพระสวด พอไปถึงก็ไปเคารพศพตามปกติและก็ไปนั่งที่ที่เขาจัดไว้ให้แขกนั่งพูดคุยทักทายแสดงความเสียใจกับเพื่อนอยู่สักพักก็ขอตัวไห้องน้ำ ทางไปห้องน้ำต้องผ่านหน้าเมรุเผาศพ ขณะที่เดินผ่านไปนั้นมีความรู้สึกหนักไปทั้งตัวเหมือนกับว่ามีอะไรมาจับมาดึงตัวเราไว้พอเสร็จธุระมาจากห้องน้ำแล้วจึงหาที่ที่ปลอดจากคน นั่งสบาย ที่ใต้ต้นไม้ นั่งห้อยขาบนที่นั่งรอบต้นไม้ที่มีอยู่ตามวัดทั่วไป พิจารณาถึงอาการที่เกิดตัวหนักขึ้นมาเฉยๆก็เลยหลับตาลงเพื่อเข้าสมาธิดุสิ่งที่เกิดขึ้น ครั้นพอหลับตาลงชั่วพริบตาเดียวเห็นตามตัวตามแขนตามขาของผู้เขียนนั้นมีมือของคนตั้งมากมายมาจับเต็มไปหมดนับร้อยนับพันมือ ตอนแรกที่ก็รู้สึกตกใจเหมือนกันเพราะไม่เคยเจออย่างนี้ แต่พอทุกอย่าชัดเจนขึ้นเริ่มเห็นเจ้าของมือทั้งหลายชัดเจนขึ้นมือเหล่านั้นก็ค่อยๆปล่อยออกจากตัวผู้เขียนไป ทั้งหมดนั้นเป็นมือของผีหรือวิญญาณที่อยู่ที่นั่น ผีทุกตัวค่อยลงไปนั่งพับเพียบเรียงกันเป็นแถวเป็นแนวอย่างเป็นระเบียบทีละตัวสองตัวนั่งลงนั่งลงด้วยอาการสงบพวกที่นั่งลงได้แล้วก็ประนมมือขึ้นไหว้ผู้เขียนแล้วก็ประนมไว้อยู่อย่างนั้นตลอดเวลาที่อยู่ตรงหน้าผู้เขียน มาเรื่อยๆไม่ขาดสายตัวแล้วตัวเล่าตัวแล้วตัวเล่าค่อยขยายออกไปจนเต็มลานหรือบริเวณนั้นแล้วลนออกไปสุดหูสุดตา นับประมาณด้วยตาแล้วน่าจะเกินหมื่นตัวอย่างแน่นอน และรูปร่างหน้าตาของผีแต่ละตัวนั้นสุดที่จะบรรยายทั้งหน้าตาเหวอะหวะ เสื้อผ้าขาดวิ่น ผอมโซ เลือดเกรอะกรัง กลิ่นเหม็นจนน่าสะอิดสะเอียน บ้างตาถลนออกนอกเบ้า บ้างหัวขาด บ้างไส้ทะลัก มีมากมายหลายแบบล้วนแล้วแต่ไม่น่าดูน่าชมเลย ผู้เขียนเห็นดังนั้นจึงถามขึ้นว่า “พวกทานเป็นใครทำไมจึงมากันมากมายเพียงนี้ แล้วปรารถนาสิ่งใดจากเราจึงมาหาเรา”ผีตนหนึ่งที่ดูว่ามีอาวุโสที่สุดในจำนวนผีทั้งหมดลักษณะเป็นหัวหน้าก็พูดตอบมาว่า “ข้าแต่ท่านผู้ใจบุญ พวกกระผมเป็นผีเร่ร่อนที่อยู่แถวนี้ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิดด้วยแรงกรรมบางอย่างของแต่ละตัวที่แตกต่างกันไป พวกเราอยู่ไปทั่วบริเวณรอบๆวัดนี้แหละ ที่ต้องออกมาพบท่านอย่างนี้ก็เพราะว่า เรารู้มาว่าวันนี้จะมีผู้มีบุญและมีเมตตามาที่นี่พวกเราจึงตั้งใจมารอท่าน”“มารอกันทำไม” ผู้เขียนถามกลับไป ผีตัวนั้นตอบว่า“เพราะว่าเรารู้ว่าท่านช่วยพวกเราได้”“ยังไง” ผู้เขียนถามต่อ “ก็ท่านเป็นผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกุศลผลบุญและเป็นผู้เจริญเมตตาบารมีอย่างมาก พลังแห่งความเมตตาที่เป็นรัศมีออกมาจากตัวท่านแผ่ไปทั่วไม่ว่าท่านจะไปที่ใดสรรพวิญญาณทั้งหลายก็จะเห็นพลังอันนั้นของท่าน” ผีตัวนั้นหยุดพูดสักพักหนึ่งแล้วจึงพูดต่อว่า “พวกเราเดือดร้อนกันมานานแล้ว เราอดอยากกันมากทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสเพราะไม่มีใครอุทิศส่วนกุศลถึงพวกเราเลย แม้มีบ้างก็ไม่บริบูรณ์เพราะท่านผู้ที่อุทิศนั้น ส่วนใหญ่เป็นผู้ไม่มีศีลไม่มีธรรม ทานที่ส่งให้ไปจึงน้อยมากไม่เพียงพอแก่พวกเรา แล้วส่วนมากก็ระบุแค่ญาติของตนของตนเท่านั้นพวกเราจึงอดอยาก”“แต่พวกท่านก็อยู่ในวัดกันนี่นา พระท่านก็แผ่เมตตาจิตให้ทุกวันแล้วไม่ได้รับหรือ” ผู้เขียนย้อนถามไป “ได้รับบ้างแต่น้อยดังที่บอกไปนั่นแหละ เพราะพระคุณเจ้าในปัจจุบันนี้ไม่ค่อยเจริญพระกรรมฐานให้ถึงจุดที่พอจะช่วยสรรพวิญญาณได้แล้วเรื่องศีลและวินัยก็ย่อหย่อนจึงเป็นผลที่ทำให้ไม่สามารถแผ่เมตตาไปได้มาก ยิ่งฆราวาสยิ่งไปกันใหญ่จะหาคนดีมีศีล ๕ บริสุทธิ์สักคนหนึ่งก็หาอยากไม่ต้องไปพูดถึงศีล ๘ เลย นั่นเฉพาะเรื่องของศีล ยังมีเรื่องของสมาธิ อีก ขนาดศีลยังไม่เต็มแล้วจะมีกำลังสมาธิกำลังของจิตได้อย่างไร” ผู้เขียนนิ่งฟังอยู่สักพักหนึ่งก็พิจารณาตามที่ผีตัวนั้นพูด “เห็นจะจริงดังที่ท่านพูดมา เป็นอย่างนั้นจริงๆแม้เราเองที่อยู่ในสังคมมนุษย์เมื่อเราพูดเรื่องศีล ๕ มีแต่คนเดินหนี เฮ้อ มนุษย์หนอมนุษย์ แย่มากๆให้ผีดูถูกกันได้ อ้าวแล้วพวกท่านปรารถนาอะไรจากเรา จงบอกมาเถิดถ้าเราช่วยได้เราจะช่วย” ผู้เขียนพูดและถามความต้องการของผีเหล่านั้น ผีตัวที่เป็นหัวหน้าก็พูดขึ้นมาว่า “เราปรารถนาทานบารมีของท่านทั้งอาหารทิพย์ น้ำทิพย์ และ ยาทิพย์ เครื่องนุ่งห่มทิพย์ จากท่าน ขอท่านจงโปรดเมตตาแผ่พลังจิตอันเป็นทิพยสมบัติของท่านแก่พวกเราด้วยเถิด แล้วเมื่อพวกเราได้รับแล้วพวกเราบางตัวก็จะได้ไปเกิดในภพภูมิใหม่ที่ดีกว่า ขอท่านจงปลดปล่อยพวกเราด้วยเถิด” แล้วผีนับหมื่นนั้นก็พร้อมใจกันกราบลงตรงหน้าของเราผู้เขียนเป็นการขอความเมตตา “เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ขอให้ท่านทั้งหลายจงตั้งปรารถนาในสิ่งที่ตนปรารถนาตามสมควรแก่ตน แก่ตนเถิด เราจะแผ่เมตตาจิต และความเป็นทิพย์ไปสู่พวกท่านทั้งหลาย” พูดจบผู้เขียนก็ลุกขึ้นยืนประนมมือแล้วอธิษฐานจิตไปว่า “ด้วยบุญบารมีที่เราได้บำเพ็ญมาอย่างดีแล้วขอความเป็นทิพย์ทั้งหลายจงบังเกิดขึ้นตรงหน้าแล้วแจกจ่ายไปสู่สรรพวิญญาณทั้งหลายนี้โดยทั่วกัน แม้วิญญาณดวงใดปรารถนาไปสู่ภพภูมิใหม่ขอให้จงได้ไปเกิดในภพภูมิที่ตนปรารถนาตามกำลังบุญที่ตนนั้นได้เคยสั่งสมมา ขอความปรารถนาของเราจงสำเร็จดังที่ได้อธิษฐานไปนี้ทุกประการเทอญ”“สาธุ” เสียงสาธุของสรรพวิญญาณทั้งหลายนั้นดังกึกก้องไปทั่วบริเวณนั้น สิ้นคำอธิษฐานได้บังเกิดอัศจรรย์ในสมาธิของผู้เขียนที่ยืนหลับตาประนมมืออยู่ในขณะนั้น ภาพที่เห็นคือ เบื้องบนเหนือศีรษะของผู้เขียน เกิดสายน้ำทิพย์พุ่งขึ้นโปรยปรายไปทั่วบริเวณประดุจสายฝน ครั้นเมื่อสายฝนนี้ไปถูกต้องกายของผีตัวใดสภาพของผีที่น่าเกลียดเหล่านั้นกลับมีผิวพรรณสวยงามกันทุกตัวตน เสื้อผ้าที่ขาดวิ่นกระรุ่งกระริ่งนั้นกลับเป็นชุดผ้าไทยใหม่ที่สีสันสดใสสวยงามประดุจนางฟ้าเทพเทวาก็มิปาน อีกด้านหนึ่งนั้นต่ำลงไปที่ปลายเท้าของผู้เขียน มีสายน้ำใหญ่ไหลเป็นธารน้ำประดุจการไหลของธารน้ำใหญ่ ไหลไปสู่สรรพวิญญาณทั้งหลาย เปลวไฟแห่งความแห้งแล้งทรมานผีทั้งหลายมานานนั้นถูกสายน้ำนี้ดับหมดแล้วเมื่อธารน้ำนี้ไหลไปถูกผีตัวใดก็บังเกิดเป็นสรรพอาหารทิพย์มากมายขึ้นตรงหน้าผีตัวนั้นๆ พลันผีเหล่านั้นก็กินอาหารนั้นกันเป็นการใหญ่ บ้างก็ดื่มน้ำนั้นด้วยการใช้มือทั้งสองข้างวักขึ้นมาดื่มกันอย่างมีความสุขต่างร่าเริงบันเทิงใจไปทั่วบริเวณ ประดุจดังว่าคนหิวโหยมานานแล้วได้มาพบสิ่งที่ตนปรารถนา ได้ดื่ม ได้อาบ ได้กินกันอย่างมีความสุข ผีทั้งหลายต่างกลับกลายงดงามตามสภาพของตน ต่างพร่ำบนกันด้วยความสุข ผู้เขียนเองก็ไม่วายที่จะมีความสุขไปพร้อมกับผีเหล่านั้น แล้วสักพักผีบางตัวก็ลอยขึ้นไปบนฟ้า แล้วก็พูดออกมากันว่า “ไชโย เราจะได้ไปเกิดแล้ว ไชโย เราจะได้ไปเกิดแล้ว” พูดร้องตะโกนกันอยู่อย่างนั้น ผู้เขียนปล่อยให้เวลาผ่านไปสักพักหนึ่งเพื่อให้ผีเหล่านั้นได้รับผลบุญกันเต็มที่ ครั้นเห็นว่าสมควรแก่เวลาที่จะต้องไปฟังสวดพระอภิธรรมแล้ว จึงพูดขึ้นว่า “ได้เวลาที่เราต้องไปแล้วขอท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ที่ไม่ประมาทในการสร้างสมบุญบารมีเพื่อประโยชน์ของตนของตน และขอให้ท่านทั้งหลายจงมีความสุขสวัสดีอันสมควรแก่อัตภาพของตนถ้วนทุกท่านเทอญ”“สาธุ สาธุ สาธุ” เสียงสาธุดังพร้อมกันอีกครั้ง แล้วผีตัวที่เป็นหัวหน้าก็พูดขึ้นว่า “ตั้งแต่ข้าพเจ้าตายจากความเป็นมนุษย์นี่เป็นความสุขแรกที่ข้าพเจ้าได้รับเป็นอย่างมาก ข้าพเจ้าจะไม่ลืมบุญคุณอันนี้ของท่านเลยตลอดไป ขอท่านจงเป็นผู้บริบูรณ์ในบุญบารมีทั้งหลาย สิ่งใดท่านปรารถนาจงสำเร็จดังมโนปณิธานที่ท่านตั้งไว้ในทุกเรื่องใดใดก็ตาม ขออำนาจความสำเร็จทั้งหลายจงมีแก่ท่านตลอดไป สาธุ” แล้วผีทั้งหลายก็ก้มลงกราบผู้เขียนอีกครั้งหนึ่ง เป็นการลา แล้วผู้เขียนก็ออกจากสมาธิ นั่งพิจารณาเรื่องราวทั้งหลายที่เกิดขึ้นอยู่สักพักหนึ่งก็ได้เวลาฟังพระสวดอภิธรรมพอดี เรื่องก็มีเท่านี้ ขอฝาข้อคิดสะกิดเตือนใจท่านผู้อ่านทั้งหลาย เรื่องบุญบารมีที่ทุกท่านสั่งสมกันอยู่มากน้อยก็ตาม หาได้เป็นประโยชน์เฉพาะตนเพียงเท่านั้นก็หาไม่วันหนึ่งเมื่อมันมีมากมันก็สามารถใช้ช่วยเหลือผู้อื่นได้ด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่เกิดกับผู้เขียนมาประมาณ 10 ปีมาแล้วเห็นจะได้ หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาจวบจนวันนี้เมื่อใดก็ตามที่ผู้เขียนได้มีโอกาสไปที่วัดหรือที่ที่มีวิญญาณในลักษณะนี้ผู้เขียนก็จะแผ่บุญบารมีช่วยสรรพวิญญาณทั้งหลายตลอดมาและคงจะทำไปจนกว่าจะหมดลมหายใจ เรื่องราวของผู้เขียนในลักษณะนี้จึงมีมากมายแตกต่างกันก็ที่สถานที่ ในแต่ละที่ก็มีความทุกข์ร้อนแตกต่างกันไปไม่ผิดอะไรกับมนุษย์ที่มักจะมีความทุกข์ร้อนไปทั่วนั่นก็เพราะทั้งผีและมนุษย์ทั้งหลายนั้นประมาทไม่ยอมสร้างสมคุณงามความดี บุญบารมีเฉพาะตนไว้ให้มากๆเลยต้องเดือดร้อนกันทั้งตอนที่ยังมีชีวิตและแม้กระทั่งตายไปเป็นผีก็ยังเดือดร้อน ท่านผู้อ่านถ้าไม่อยากเดือดร้อนทั้งในโลกนี้และโลกหน้าก็เร่งสร้างสมคุณงามความดี บุญบารมีเอาไว้ก่อนจะสายเกินไปเพราะท่านอาจจะไม่โชคดีเหมือนกับผีผีที่เล่ามาแล้วนั้นก็ได้ ที่บังเอิญมีคนมีบุญผ่านมาช่วยเหลือพวกเขาซึ่งก็คงหาได้ยากในสังคมปัจจุบัน ยิ่งไม่ใช่พระหรือนักบวชผู้ทรงศีล ทรงอภิญญาด้วยแล้วยิ่งหาไม่ได้และไม่ต้องหวังเลย เอาหล่ะคงต้องขอจบเรื่องราวของผีตัวที่ ๙ เอาไว้เพียงเท่านี้ แล้วคอยพบกับผีตัวที่ ๑๐ กันต่อไปนะครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น