คุยกับผีตัวที่ ๑๒
ผีทหารโบราณ
กลับมาอีกครั้งกับเรื่องราวผีผี
ที่หายไปก็เพราะต้องทำกิจกรรมหลายอย่างแต่ก็ยังไม่ลืมว่าจะต้องมาเล่าเรื่องราวดีดีสู่กันฟังอยู่สำหรับเรื่องราวที่จะนำมาเล่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี
๒๕๔๐
ที่จังหวัดหนึ่งทางภาคกลางของประเทศไทยเรื่องก็มีอยู่ว่าวันนั้นได้เดินทางไปที่อำเภอหนึ่งในจังหวัดนั้นบังเอิญต้องเดินทางไปในตอนกลางคืน
คือออกจากกรุงเทพประมาณ เกือบ ๒ ทุ่มแล้วไปถึงก็ประมาณ ๔ ทุ่มกว่า
ไปที่บ้านของเพื่อนและพักอยู่ที่บ้านของเพื่อนบ้านของเพื่อนเป็นบ้านเรือนไม้
แต่ไม่ใช่เรือนไทย เป็นเรือนไม้ที่เห็นกันทั่วไปตามชนบท
ก็สบายๆเพราะเป็นคนชอบอะไรที่เป็นแบบชนบทบ้านนอกอยู่แล้ว ก็ไม่มีอะไรอยู่ได้
ได้บรรยากาศไปอีกแบบก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น อ่อ แต่จะว่าไม่คิดก็ไม่ได้
ก็คิดอยู่เหมือนกันแต่ไม่ได้หวั่นกลัวอะไร
ไปถึงก็ทักทายญาติผู้ใหญ่ของเพื่อนจนสมควรแก่เวลา
จึงแยกย้ายกันเพื่อทำกิจส่วนตัวและพักผ่อนนอนหลับในคืนนั้น
เวลาก็ปาไปเกือบเที่ยงคืนหลังจากอาบน้ำเสร็จก็ไปกราบพระในห้องพระของบ้านเป็นการบอกกล่าวที่ทางเสียก่อนตามธรรมเนียมเพื่อความสบายใจ
แล้วจึงเข้านอนก็นอนกันแบบง่ายๆคือทุกคนนอนด้วยกันบนบ้านคือมุ้งใครมุ้งมัน
บ้านต่างจังหวัดอยู่กลางทุ่งนากลางดึกลมก็พัดค่อนข้างแรงเสียงลมพัดฝาบ้านดังเป็นระยะๆ
เสียงเศษกิ่งไม้ใบไม้ตกกระทบหลังคาดังพอให้รู้สึกเหมือนมีอะไรมาเคาะหลังคาฟังแล้วก็ให้จินตนาการไปแต่สักพักก็ชินกับเสียงทั้งหลายแล้วก็หลับไป
รู้สึกตัวอีกครั้งกลางดึกสงัดดูเวลาประมาณตี ๒ กว่าเห็นจะได้
รู้สึกว่าได้ยินเอะอะโวยวายดังมากเป็นเสียงของคนเยอะมากดังมาจากข้างนอกตัวบ้านอึกทึกครึกโครมดังกึกก้องเหมือนกำลังทำอะไรกันสักอย่างจากนั้นก็มีเสียงดังเหมือนโลหะกระทบกันดัง
แกร็งๆๆ ดังมาจากหลายๆทิศทางมีเสียงร้องโหยหวล เสียงความเจ็บปวดปางตาย
เสียงเหมือนโกรธแค้น หมายประหัดประหารกันให้ตายไปข้างหนึ่ง
รุ้สึกว่ามึคนอยู่ที่นั่นเยอะมากเป็นร้อยเป็นพัน
พอเริ่มตั้งใจฟังเสียงให้ชัดเจนมากขึ้นเริ่มจับใจความได้ว่า
นั่นคือการรบกันในสงครามโบราณแน่ๆ
ในขณะนั้นมองไปรอบตัวภายในบ้านยังเห็นทุกคนในบ้านนอนหลับสนิทไม่มีใครได้ยินอะไรเลย
มีแต่ผู้เขียนเท่านั้นที่ได้ยินคนเดียว
ขณะนั้นจึงกำหนดจิตเป็นสมาธิทั้งที่ยังนอนอยู่เพื่อดูให้แน่ใจว่ามันคืออะไรกันแน่
ภาพที่ปรากฏแก่สายในสมาธินั้น เป็นภาพของทหารโบราณ
มีทั้งทหารไทยและทหารพม่ากำลังรบพุ่งกันอยู่ท่ามกลางสนามรบซึ่งบ้านหลังนี้ตั้งอยู่ตรงที่นั้นพอดี
เห็นทหารกำลังรบกัน บ้างก็ถูกฟัน ถูกแทง ตายไปต่อหน้าต่อตา คนแล้วคนเล่า
บางคนกำลังต่อสู้กันอยู่ตรงหน้าคร่อมตัวผู้เขียนอยู่ก็มี
โดยไม่สนใจว่าผู้เขียนเห็นเขาอยู่ เลือดของคนที่โดนฟันยังสาดกระเซนมาตกใกล้ๆ
ยิ่งกว่าในละครที่เคยดูเพราะมันเป็นของจริงที่ตายก็ตายจริง ที่แขนขาด ขาขาด
ก็ขาดกันจริง ที่แผลเหวอะหวะก็ของจริง ที่คอขาดกระเด็นไปคนละทิศทางก็ของจริง
นี่ถ้าเป็นคนขวัญอ่อนคงกลัวจนเป็นไข้หัวโกร๋นไปแล้ว
หรืออาจอ๊วกแตกเพราะภาพน่าสยดสยองน่าสะอิดสะเอียนของการฆ่าฟันกันอย่างไม่มีความเมตตาปราณีต่อกัน
ศพแล้วศพเล่าที่ตายไป จากสงครามแห่งเผ่าพันธุ์
ไม่มีความคิดว่าต่างฝ่ายก็ต่างเป็นมนุษย์ คิดแต่อย่างเดียวว่าแผ่นดินนี้เป็นของกู
ต้องเป็นของกู
ผู้เขียนนอนดูเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นด้วยความระทึกใจตลอดเวลาในการได้ดูนั้นไม่ได้มีใจคิดเข้าข้างใคร
ไม่คิดว่าใครถูกใครผิดเลย เพียงแต่คิดว่า ทำไมคนเราถึงทำได้ขนาดนี้
แค่ความต้องการครอบครองอะไรๆที่ไม่ใช่ของตนแต่ตนอยากได้
ต้องลงมือทำสงครามประหัดประหารกันได้ขนาดนี้
คิดแล้วมันหดหู่ใจยิ่งนักแล้วสุดท้ายมันเป็นอย่างไร ก็ไม่เห็นมีใครเอาอะไรไปได้เลย
สุดท้ายไม่ว่าฝ่ายใดแพ้ฝ่ายใดชนะก็ไม่พ้นต้องตายกันทั้งสิ้น
วันนี้ผู้คนทั้งหมดที่ผู้เห็นในเหตุการณ์สงครามครั้งนี้บัดนี้ก็ไม่มีใครเหลือรอดอยู่เลยแม้แต่คนเดียวไม่ว่าจะเป็นฝ่ายแพ้หรือฝ่ายชนะ
แม้ในขณะที่คิดนั้นเหตุการณ์การต่อสู้กันก็ยังไม่ยุติลง ยังคงดำเนินอยู่ต่อไป
เสียงสนั่นหวั่นไหวของปืนใหญ่ก็ดังอยู่เป็นระลอก คงไม่จบไม่สิ้นแน่
เพราะบางครั้งเหมือนจะจบ ภาพที่เคยเห็นผ่านไปก็กลับมาปรากฏให้เห็นอีก
คนเดิมทหารคนเดิม มารบมาฆ่ากันให้เห็นอีกแล้ว จึงตัดสินใจตะโกนถามคนเหล่านั้นออกไป
“ใครก็ได้ช่วยบอกทีว่านี่มันคืออะไรกัน
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ทำไมมันซ้ำไปซ้ำมาเหมือนเดิม”
มีทหารคนหนึ่งเดินถือดาบตรงเข้ามาหาผู้เขียน แล้วก็พูดขึ้นว่า “ทั้งหมดที่ท่านเห็นเป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในสมัยสงครามเก้าทัพ
ครั้งนั้นทหารพม่ายกทัพมาตีถึงเก้าทาง ทางนี้ก็เป็นทางหนึ่งที่พวกพม่ายกมา
แต่ช่างมันเถอะมันผ่านไปนานแล้ว
ข้ามาเพื่อจะบอกท่านว่าทั้งหมดนี้ที่ท่านเห็นมันเป็นวิบากกรรมที่พวกข้าบางคนยังต้องรับหรือชดใช้กรรมกันอยู่ในสภาพนี้บางส่วนก็ได้ไปเกิดในที่ใหม่แล้วบางส่วนยังวนเวียนอยู่แต่ทั้งหมดที่ท่านเห็นมันเป็นภาพอดีตที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
อดีตจะเป็นภาพที่ทรงตัวของมันเองอยู่เสมอจะเป็นอยู่อย่างนั้นปรากฏอยู่อย่างนั้นตราบนานเท่านานแม้ผู้อยู่ในอดีตนั้นจะได้เวียนว่ายไปสู่ภพภูมิใหม่แล้วก็ตามแต่ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหลายจะยังอยู่
ดังนั้นผู้ที่มีกำลังจิตที่เรียกว่าฌาณก็ดี
หรือบางคนหลับฝันไปก็ดีจะสามารถเห็นอดีตที่ผ่านมาแล้วได้เพราะภาพอดีตเหล่านั้นยังคงอยู่
ว่าไงท่านพอเข้าใจหรือเปล่า”
ทหารคนนั้นย้อนถามความเข้าใจ “อ่อ ก็พอเข้าใจอยู่บ้าง
ว่าภาพทั้งหมดเป็นภาพอดีตที่จะยังคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาคือแม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไรก็ตามภาพที่เห็นนี้จะเหมือนเดิมยังเป็นภาพเดิมอยู่เสมอแม้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นจะเวียนว่ายไปแล้วก็ตาม
ใช่หรือเปล่า” ผู้เขียนตอบไป “เออ
ใช่แล้ว”“อ้าวแล้วพวกที่ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิดจะทำอย่างไร
จะต้องอยู่สภาพแห่งสงครามการรบราฆ่าฟันอย่างนี้ไปเรื่อยๆหรือ” ผู้เขียนถามต่อ
“เปล่า ไม่ใช่ สงครามมันจบไปแล้ว
สิ่งที่เหลืออยู่คือภาพแห่งสงครามที่ไม่มีวันหายไป
ภาพแห่งสงครามจะอยู่ตราบนานเท่านานบันทึกอยู่ในกาลเวลาไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปได้แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตามเหมือนตอนนี้
๒๐๐ กว่าปีล่วงไปแล้วภาพแห่งสงครามนี้ก็ยังอยู่และจะอยู่ต่อไปเหมือนกับเรื่องอื่นๆ
แต่อีกสิ่งที่เหลือคือ จิตวิญญาณที่ยังไม่สามารถไปผุดไปเกิดเพราะยังไม่หมดกรรม
หรือยังไม่ถึงวาระก็ต้องเร่ร่อนอยู่แถวนี้ไปเรื่อยๆรอเวลาจนกว่าจะถึงเวลาของตัวเอง
ว่าจะได้ไปผุดไปเกิดที่ไหนตามแต่เวรกรรมบุญบาปที่ทำกันมา พวกนี้แหละน่าสงสาร
จะไปก็ไม่ได้ครั้นจะอยู่ก็เคว้งคว้างลำบากต้องรอขอส่วนบุญเขาไปเรื่อย
ไอ้ที่ไปแล้วจะสวรรค์ก็ดี นรกก็ดี หรือไปเกิดเป็นมนุษย์ เปรต อสูรกาย
หรือสัตว์เดรัจฉานก็ดี พวกนี้ถือว่ามีที่หมายมีที่อยู่แน่นอนในภพในภูมิของตน
จะลำบากก็ลำบากในภพภูมิของตน ไม่ต้องเร่ร่อนมีอาหารตามมีตามได้ของตน
ผิดกับพวกวิญญาณเร่ร่อนที่ยังหวังอะไรไม่ได้ อยู่ก็ต้องอยู่ที่เก่า
ภาพที่เห็นก็ภาพเก่า อาหารไม่ต้องพูดถึงแทบไม่มีให้กินกันเลย
ที่เรียกกันทั่วไปว่าสัมภเวสีนั่นแหละ”“อ้าว แล้วท่านหล่ะเป็นอะไร” ผู้เขียนถามไป
“ข้ายังจัดเป็นพวกสัมภเวสีอยู่เหมือนกันเพราะตายก่อนเวลาอันควร”“อ้าวแต่นี่มันผ่านมาตั้งนานแล้วนะท่าน
แล้วทำไมยังไม่ได้ไปเกิด”
“ไม่เกี่ยวกัน
ก็ข้ามันดันตายก่อนเวลา เลยต้องรอรอบเวลาที่จะมาถึง”“แล้วรู้มั้ยว่าตัวเองจะได้ไปไหนถ้าเวลามาถึง”ผู้เขียนถาม “ก็ต้องสวรรค์อย่างแน่นอน”ทหารคนนั้นตอบ
“ทำไมท่านถึงมั่นใจ”“อ้าวก็ตอนยังมีชีวิตที่ไม่เกิดสงครามผมทำบุญทำทานประจำ ถือศีล
และยังไปช่วยพระสร้างโบสถ์สร้างวิหารอยู่เป็นประจำ ส่วนบาปกรรมก็ไม่ได้ทำเลย
จะว่าไม่ทำเลยก็ไม่ใช่ ทำบ้างเล็กๆน้อยๆก็สุรากับเพื่อนฝูงนั่นแหละ
แต่ก็ไม่เคยก่อความเดือดร้อนให้ใครนะเพราะเป็นทหารต้องมีระเบียบมีวินัยของทหาร
ฮ่าฮ่าฮ่า” เขาพูดพลางหัวเราะไปพลาง “แต่จากนี้อีกไม่นานข้าก็จะได้ไปเกิดแล้วหล่ะ
ท่านไม่ต้องห่วง” เขาพูดต่อ ผู้เขียนนิ่งฟังอยู่สักครู่แล้วจึงถามต่อไปว่า
“แล้วทำไมต้องให้ข้าเห็นทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีตนี้”“จริงแล้วไม่มีใครอยากให้ใครเห็นหรือไม่อยากให้ใครเห็นหรอกนะ
เพราะทุกอย่างมันก็เป็นของมันอยู่อย่างนี้มานานแล้ว ที่ท่านเห็นก็เพราะตัวท่านเอง
จิตของท่านมีพลัง ใจท่านบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ท่านจะเห็นได้
ท่านเองก็คงรู้อยู่แก่ใจข้าคงไม่ต้องพูดมากไปกว่านี้
เอาหล่ะคิดว่าที่เราคุยกันมาก็คงพอสมควรแก่เวลาแล้ว
เห็นทีข้าต้องไปยังภพของข้าแล้วหล่ะนะ อ่อ อีกเรื่องหนึ่ง
ขอให้ท่านหมั่นแผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายให้มากๆ ให้เป็นประจำ พวกเรา
หรือพวกข้าที่อยู่ในภพที่มีแต่ดวงจิต ที่มนุษย์เรียกว่าวิญญาณ หรือ ผี นั่นแหละ
สามารถรับพลังเมตตานั้นได้ไม่ว่าจะอยู่ภพไหนก็ตาม ตั้งแต่สวรรค์ยันพรหมโลก
ถึงโลกุตตรภูมิด้วยซ้ำ รับได้ทั่วถึงกันหมด
เมือ่ดวงจิตทั้งหลายได้รับพลังที่ดีนั้นแล้วก็จะพากันกล่าว สาธุการ ด้วยกันทั้งสิ้น
ผู้ที่แผ่ไปนั้นก็จะได้รับผลแห่งบุญบารมีที่แผ่เมตตาไปนั้นโดยปริยาย จำเอาไว้นะ
นี่เป็นอีกวิธีที่สร้างบุญที่ง่ายและได้รวดเร็วที่สุดวิธีหนึ่ง ข้าคงต้องไปแล้ว
ท่านจงตั้งใจสร้างสมคุณงามความดีต่อไปนะ
จำไว้อะไรที่ท่านทำไม่ว่าดีหรือชั่วก็จะได้แก่ตัวท่านเอง ท่านเป็นคนดี
ท่านคงเข้าใจทุกอย่างที่ข้าพูด ข้าไปหล่ะ”
ผู้เขียนยังไม่ทันที่จะได้พูดถามอะไรต่อ หรือกล่าวคำร่ำลาต่อผีทหารโบราณผู้นั้น
เขาก็ได้หายวับไปกับตา ผู้เขียนจึงแผ่เมตตาให้กับผีทหารโบราณตนนั้น
และนึกขอบคุณในทุกๆเรื่องที่ได้สนทนาปราศัยให้ผู้เขียนได้มีความรู้และความเข้าใจในวิถีแห่งจิตวิญญาณมากขึ้น
มันไม่ได้จบลงตรงคำว่าตาย มันเป็นแค่จุดเริ่มต้นแห่งการผจญภัยในภพใหม่
ที่ถูกกำหนดด้วยอำนาจบุญและบาปของจิตวิญญาณดวงนั้นๆ เห็นทีว่าเรื่องผีตัวที่ ๑๒
คงจะต้องจบลงแต่เพียงเท่านี้ แล้วพบกันในผีตัวที่ ๑๓ นะครับffice
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น