เอาล่ะและแล้วเราก็มาถึงผีตัวที่ 8 กันนะครับ
ขอโทษทีที่ทำให้รอนาน
พอดีมันมีเรื่องยุ่งๆมากมายเกี่ยวกับกิจกรรมที่อาศรมนั้นแหละเยอะแยะไปหมดเลยนะครับ
เอาแหละเรื่องผีตัวที่ 8 นี้เราจะขอย้อนกลับไปนิดนึง จริงๆแล้ววันที่เกิดผีตัวที่ 8
เนี่ยเป็นประมาณซักวันที่ 2 หรือวันที่ 3 ในขณะที่ถือศีล 8อยู่ที่วัดนี่แหละครับ
ตอนนั้นเป็นช่วงเช้าหลังจากฉันอาหารเสร็จก็อย่างที่บอกตอนนั้นถือศีล 8
อยู่การขบการกินอะไรต่างๆนาๆเขาเรียกว่าฉันเหมือนกับพระหรือนักบวชทั่วๆไปนั้นแหละ
หลังจากฉันอาหารเช้าเสร็จแล้วก็กลับมาพักที่กุฏิ ก็ซักเครื่องนุ่งห่มชุดขาว
อาบน้ำชำระร่างกายอะไรเสร็จแล้วออกมาเดินจงกลมปฏิบัติธรรมไปตามปรกติ
วันนั้นครึ้มฟ้าครึ้มฝนมากเป็นช่วงฤดูฝน
ขณะที่เดินๆไปฝนก็ตกพร่ำๆหมายถึงว่าเดินจงกรมนี่นะ
เดินจงกลมไปซักพักนึงเรื่อยๆนี่นะฝนก็ตกมาพร่ำๆตอนนั้นรู้สึกว่ามีความคิดแผลงๆขึ้นมาว่า
“เอ้ออยากจะฝึกความอดทนตัวเองซิว่าเรามีความอดทนอนกลั้นมากน้อยแค่ไหน
ก็เลยคิดว่า “เอ้อลองนั่งกรรมฐานหรือสมาธิตากฝนดีมั๊ย
ไม่รู้หรอกว่าฝนจะตกหนักแค่ไหนแต่คิดว่าก็คงหนักเพราะฟ้ามามืดมาก
ตกนานแค่ไหนก็ช่างมัน เราจะนั่งๆไปจนกว่ามันจะหยุดตกนั้นแหละ” ความคิดอย่างนี้เกิดขึ้นในใจปุ๊ป ก็คิดต่อไปว่า “นั่งดีกว่า”
ก็เลยจัดแจงหาที่นั่งแล้วก็ตั้งใจอธิฐานว่า
จะนั่งและไม่ลุกไม่ว่าฝนจะตกหนักแค่ไหนจะนั่งไปจนกว่าฝนจะหยุดตก
เมื่ออธิฐานจิตเสร็จก็ลงนั่ง นั่งไปซักพักหนึ่งฝนก็ตกพร่ำๆ
และเริ่มมีเม็ดฝนมากขึ้นเรื่อยๆ ก็รู้สึกถึงความเปียกที่ตัวเรา
เริ่มจะมีความชุ่มที่ศรีษะของเราที่ไหล่ของเรา ฟ้าก็ร้องแบบว่าฝนจะตกหนักแล้วนะ
ฝนจะตกหนักแล้วนะรีบๆลุกไปซะอะไรประมาณอย่างเนี่ย
แต่ผู้เขียนยังไม่ยอมลุกยังนั่งอยู่ เพราะผู้เขียนตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ลุก
เรื่องไม่คาดคิดมันเกิดขึ้นตรงนี้คุณผู้อ่านทั้งหลาย
ขณะที่ผู้เขียนเนี่ยนั่งด้วยความสงบของผู้เขียนโดยไม่คิดอะไร
เพียงแต่ว่าจะอดทนจะใช้ฝนเนี่ยเป็นการฝึกความอดทน ทั้งความหนาว
ทั้งความเปียกนั่งเนี่ย แต่มันไม่ใช่อย่างที่ผู้เขียนคิดซะแล้ว
ซะพักหนึ่งในขณะที่เรานั่งไปแล้วเกิดฌาณ
ก็คือการรับรู้การเห็นเข้าเรียกว่าในองค์ฌาณของผู้เขียนนั้นนะเกิดนิมิตขึ้นตรงหน้า
มีเทวดาองค์หนึ่งปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้า
ผู้เขียนก็ไม่รู้หรอกว่าเทวาดาองค์นั้นเป็นใครในทีแรกในเบื้องต้น
แต่พอได้คุยกันเทวดาองค์นั้นพูดขึ้นมาก่อนว่า “ขอท่านจงลุกขึ้นเถอะ ขอท่านจงลุกขึ้นเถอะ”
ด้วยความที่ผู้เขียนตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าเทวดาคนนี้เป็นใครมีเจตนาอะไร ก็เลยบอกเขาว่า
“ทำไม ทำไมท่านต้องมาบอกให้เราลุกล่ะ
เราตั้งใจจะทดสอบตัวเอง
อยากจะฝึกตบะและความอดทนของตนเองฝึกขันติของตัวเองเนี่ยว่าจะนั่งตากฝน แม้จะเปียก
แม้จะหนาวแค่ไหนจะนั่งได้หรือไม่”
เทวดาองค์นั้นพูด“มันไม่ใช่อย่างนั้น มันไม่ใช่อย่างนั้นซิครับ”“อ้าวไม่ใช่อย่างนั้นแล้วมันเป็นยังไงล่ะ”ผู้เขียนถามตอบไป “กระผมรู้ที่ท่านตั้งใจที่จะนั่งตากฝน ว่าจะยอมเปียก ว่าจะนั่งจนกว่าจะหยุดตก
ไม่ว่ามันจะตกแรงเท่าไรก็จะนั่งจนกว่าจะหยุดตก กระผมเข้าใจแต่เนื่องจาก
แต่ว่าพวกกระผมเนี่ยถ้าเอาในเวลานี้แล้วเนี่ยท่านทรงศีล ท่านอยู่ในสภาพวะของนักบวช
เป็นผู้มีศีล 8 พวกกระผมเนี่ยไม่ได้มีศีลสูงอย่างท่าน
ในขณะนี้ท่านมีศีลบริสุทธิ์อยู่ ท่านมีศีลมากกว่าพวกกระผม
ดังนั้นกระผมและพวกกระผมเนี่ยไม่สามารถจะบันดาลให้ฝนตกลงมากระทบท่านได้
มาเปียกท่านได้เนื่องจากว่าศีลท่านสูงกว่า
มันจะเป็นบาปเป็นกรรมแก่พวกกระผม” ผู้เขียนตอบว่า
“โอ๊ยเรื่องนั้นท่านไม่ต้องหนักใจถ้าเป็นอย่างนั้นขอพวกท่านจงสบายใจเถิด
กระผมอโหสิกรรมให้พวกท่านทุกคน ท่านจงทำหน้าที่ของพวกท่านตามปกติเถิดไม่ต้องกังวลผม
ไม่ต้องห่วงใยผม
ไม่ต้องจะคิดว่าผมจะมาเป็นเดือดเป็นร้อนหรือผมจะไปกล่าวโทษพวกท่านจะเป็นบาปแก่พวกท่านไม่ต้องคิดเลย
จงทำตามหน้าที่พวกท่านเถิดเพราะกระผมต้องการจะฝึกตบะของกระผมเอง” ผู้เขียนก็ตอบไปอย่างนั้น เทวดานั้นก็พูดขึ้นต่อว่า
“ไม่ได้ซิขอรับ มันไม่ได้มันเป็นอย่างนั้นไม่ได้
กระผมเข้าใจว่าท่านมีจิตเมตตาที่จะไม่เอาโทษแก่พวกกระผม
ไม่เอาบาปเอากรรมแก่พวกกระผม แต่กระผมก็ยังทำกันไม่ได้ ขอร้องเถอะครับ
ขอให้ท่านจงลุกขึ้นเถอะ อย่าให้พวกกระผมอึดอัดใจเลย” ยังไงก็แล้วแต่แม้เทวดาองค์นั้นจะอ้อนวอนเพียงใด
ผู้เขียนก็ยังไม่ยอมลุกขึ้น
จนคิดว่าคงเกินกำลังของเทวดาองค์นั้นแล้วเทวดาองค์นั้นก็นั่งเงียบอยู่ซักพักหนึ่งพยายามเหมือนกับว่าพยายามจะให้เราลุก
แต่ผู้เขียนก็ไม่ยอมลุก ซักพักหนึ่งเมื่อเห็นว่าผู้เขียนไม่ลุกแน่แล้ว
เทวดาองค์นั้นก็มีท่าทีเหมือนจะเรียกหรือเชิญใครมาอีก
ในขณะที่เรานั่งดูกริยาของเทวดานั้น ซักพักหนึ่งเห็นเมฆก้อนใหญ่มาบนเมฆก้อนนั้นๆ
มีเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่มา และหลังจากเมฆก้อนนั้นๆเห็นขบวนเทวดามากมายมาทั้งราชรถ
เขาเรียกว่ามีทั้งม้า ทั้งช้างเต็มไปหมด ซึ่งไม่เคยได้เห็นอย่างนี้มาก่อน
และทั้งหมดนั้นลงมาตรงที่ผู้เขียนนั่ง
เทวดาทั้งกลุ่มใหญ่ๆนั้นนะมาเรียกว่าเต็มท้องฟ้าเลยลงมานั่งอยู่ข้างหน้าผู้เขียนทั้งหมด
และองค์เทวดาที่มีศักดิ์ใหญ่ที่สุดที่นำหน้าขบวนนั้นมาเนี่ยมาถึงเทวดาผู้มาคุยกับผู้เขียนก่อนนั้นก็ทำความเคารพกับเทวดาผู้นั้น
และเทวดาผู้นั้นก็นั่งขุกเข่าลงข้างหน้าผู้เขียนแล้วก็พนมมือขึ้น และบอกเราว่า
“ท่านผู้ทรงศีล เราคือพิรุณเทพ
ผู้มีศักดิ์เป็นหัวหน้าของพิรุณเทพทั้งหลาย เทวดาองค์นี้ที่มาคุยกับท่านทีแรกนั้น
ก็เป็นตำแหน่งพิรุณเทพเหมือนกันแต่เป็นลูกน้องของเรา
เราได้ยินได้ฟังเรื่องที่ท่านสองคนได้คุยกัน
แล้วรู้สึกว่าท่านคงไม่ลุกขึ้นแน่เราจึงจำเป็นต้องมาขอให้ท่านลุกด้วย
ขอให้ท่านจงลุกเถิด ลุกขึ้นจากที่ตรงนี้เถอะ
เราต้องทำหน้าที่ของพวกเราคือฝนต้องตกต้องตามฤดูการ” ผู้เขียนก็ยังยืนยันคำเดิมว่า “พวกท่านนี่พูดกันไม่รู้เรื่องหรือไง
เราบอกว่าเราไม่เอาโทษผู้ใดเลยท่านจงทำหน้าที่ของท่านเถิด
จงให้ฤดูกาลมันเดินไปตามหน้าที่ของท่านที่ท่านต้องทำเถิด แต่เราขอนั่งตากฝนตรงนี้
เราต้องการฝึกตบะของเราท่านเข้าใจไหม”
พิรุณเทพองค์ที่เป็นหัวหน้านั้นก็บอกว่า “พวกกระผมเข้าใจว่าท่านจะฝึกตบะ
แต่ขอให้ท่านจงฟังอะไรจากพวกกระผมซักเล็กน้อยได้มั๊ย
เป็นวิทยาทานเผื่อท่านจะเปลี่ยนใจได้ ที่สุดแล้วถ้าท่านยังยืนยันว่าท่านจะไม่ลุก
พวกกระผมก็จำเป็นที่จะต้องทำหน้าที่ของพวกกระผมต่อ
แต่ขอให้ท่านได้ฟังก่อน” ผู้เขียนก็ถามว่า
“ท่านจะเล่าอะไร
จะพูดอะไรให้เราฟังท่านก็พูดไปเถอะ
เราจะรับฟังเรื่องทุกเรื่องที่ท่านพูดมาแต่ว่าเมื่อเราฟังแล้วจะลุกหรือไม่ลุกจากที่นั่งนี้
ก็เป็นเรื่องของเรานะ ขอท่านจงเข้าใจเราด้วย”
เทวดาผู้เป็นหัวหน้าพิรุณผู้มีศักดิ์ใหญ่นั้นก็พูดบางสิ่งบางอย่างให้ผู้เขียนฟัง
เรื่องก็มีว่า “ท่านลองคิดดูเถิดท่านผู้เจริญ
หรือท่านผู้ทรงศีล ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ผู้มีศีลบริสุทธิ์ทั้งหลาย
ผู้ปฏิบัติฌาณทั้งหลายล้วนแล้วแต่มีฤทธิ์ที่จะกระทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติได้
อย่างเช่นในเวลานี้ที่ทำกำลังกระทำอยู่เพียงแต่ว่าท่านไม่ได้ใช้ฤทธิ์
เพียงแต่ว่าท่านใช้ตบะคือความอดทนของท่านมาเพื่อจะฝึกฝนตนเอง
แต่พวกเราที่เป็นเทวดาถึงแม้จะเป็นเทวดาก็จริง
แต่ในเรื่องของศีลแล้วเราเคารพบูชาในผู้ที่ทรงศีล
บัดนี้ท่านเป็นผู้ที่มีศีลมากคนหนึ่งมีศีลที่บริสุทธิ์
พวกเราเทวดานั้นรู้เหมือนกันอย่างเดียวกันว่าจะต้องเคารพผู้ที่มีศีล
กราบไหว้ผู้ที่มีศีล และไม่กระทำอะไรก็ตามที่เป็นการรบกวนต่อผู้มีศีล
เช่นกันกับตอนนี้ท่านเป็นผู้มีศีลมาก พวกเราถึงแม้จะต้องทำตามฤดูกาลก็ตาม
แต่เมื่อผู้มีศีลนั่งอยู่ในที่นี้
เราก็ไม่สามารถจะให้ฝนลงมากระทบผู้มีศีลได้ถึงแม้ท่านจะไม่ใช้ฤทธิ์โดยทางตรง
บัดนี้ท่านก็ใช้ฤทธิ์โดยทางอ้อม ท่านผู้มีศีลท่านจงคิดดูเถิดว่า
ถ้าผู้ปฏิบัติทั้งหลายมีศีลบริสุทธิอย่างท่านมีกำลังฌาณมีตบะเดชะอย่างท่าน
คิดในสิ่งเดียวกันทำในสิ่งเดียวกันเหมือนกับที่ท่านทำ
พวกเราที่เป็นเทวดาดูแลเรื่องฝนฟ้า ก็คงไม่กล้าให้ฝนตกลงมากระทบพวกท่าน
ถ้าทุกองค์ใช้เหมือนกันหมด
ทุกท่านใช้เหมือนกันหมดแล้วฝนไม่ตกเพราะเทวดาไม่กล้าให้ฝนตกมากระทบพวกท่านจะเกิดอะไรขึ้นท่านลองคิดดู
ชาวบ้านทั้งหลายมนุษย์โลกทั้งหลายที่เขาต้องการน้ำฝนในการปลูกผักปลูกพืชพันธ์ธัญญาหารนั้น
ท่านคิดดูเถิดว่าเขาจะเดือดร้อนกันไปทั่วหน้าแค่ไหน
ดังนั้นกระผมอยากจะให้ท่านพิจารณาเรื่องการใช้ฤทธิ์ทางตรงและทางอ้อมนี้ด้วยพวกกระผมไม่อยากจะตกตามฤดูกาล
เพราะว่าไม่อยากกระทบต่อท่านผู้มีศีล แม้ท่านผู้มีศีลจะอโหสิกรรมแล้ว
ก็ยังเป็นความเกรงใจของพวกกระผมอยู่ดี แต่ผลที่ตามมาก็คือว่าเกษตรกรชาวไร่ชาวนานั้น
เมื่อฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล มีเหตุที่ทำให้ผู้มีศีลนั้นทำให้ไม่ตกต้องตามฤดูกาลแล้ว
พืชพันธ์ธัญญาหารนั้นจะเป็นยังไง
บัดนี้ขอให้ท่านจงพิจารณาตามที่กระผมพูดด้วย”
แล้วเขาก็เงียบไป ผู้เขียนนั้นพอได้ฟังคำพูดนั้นก็พิจารณาตาม
มันก็จริงอย่างที่เขาคิดที่เขาพูด “เอ้อ
ไอ้เรานี่จะนำภัยพิบัติมาสู่ชาวโลกหรือไงเนี่ย
จะนำภัยพิบัติมาสู่เกษตรกรพืชพันธ์ธัญญาหารนี้หรือไง เพียงแค่ต้องการจะฝึกตบะของตน
เอ๋หรือว่าเราจะเป็นคนที่เห็นแก่ตัว ไม่ได้ๆๆๆ”
เมื่อผู้เขียนคิดอย่างนั้นจึงคิดต่อว่ามันไม่ควรทำเลย
จึงพูดกับเทวดากับเทวดานั้นไปว่า “งั้นจะให้เราทำยังไง
เมื่อเราประกาศไปแล้วว่าเราจะไม่ลุก”“ไม่เป็นไรหรอกถึงแม้เราจะประกาศออกไปแล้วพูดออกไปแล้ว
แต่ถ้าสิ่งที่เราพูดออกไปนั้นกระทำให้ผู้อื่นหรือชีวิตทั้งหลายนั้นที่ยังต้องรอคอยในสิ่งนี้อยู่เดือดร้อน
ท่านถอนได้ไม่เป็นไร ไม่มีใครเอาโทษท่านหรอก เพราะท่านเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม
ไม่ใช่ประโยชน์ส่วนตน ขอท่านจงลุกขึ้นเถิด ขอท่านจงลุกขึ้นเถิด”
เสียงเทวดาทั้งหมดที่นั่งอยู่ตรงนั้นที่นับจำนวนไม่ได้เป็นกองทัพมากมายนั้น
พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ขอท่านจงลุกขึ้นเถิด
ขอท่านจงลุกขึ้นจากที่นั่งตรงนี้เถิด”
ผู้เขียนก็เลยมีความคิดว่า เอาล่ะ เมื่อเป็นอย่างนั้นเราก็จะลุกขึ้น
เพื่อประโยชน์ต่อเกษตรกร
พืชพันธ์ธัญญาหารและก็ชนทั้งหลายที่ต้องการประโยชน์จากฝนที่กำลังจะตกนี้
และเราก็ไม่วายที่จะขอบคุณต่อเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่คือพิรุณเทพนั้น
และก็ชาวพิรุณทั้งหลายว่า “ขอบคุณพวกท่านมาก
ที่มาให้สติแก่เราไม่อย่างนั้นเราคงเป็นผู้ที่เป็นนักปฏิบัติคนหนึ่งที่ทำอะไรผิดพลาดไป
นับแต่นี้ต่อไปถ้าเราไม่จำเป็น เราจะสอนชนทั้งหลายต่อไปว่าร
มีฤทธิ์อย่าพยายามใช้เลย
เพราะถ้าทุกคนหันมาใช้ฤทธิ์กันหมดก็คงจะทำให้สังคมโลกหรือมนุษย์นั้นวุ่นวาย
เพียงแต่ให้รู้ว่ามีก็พอแล้ว และเราเองก็จะไม่พยายามใช้อีก จะไม่ใช้มันอีก
เอาล่ะเมื่อมันเป็นอย่างนี้แล้วเราก็คงต้องขอโทษพวกท่านทุกคนที่ทำให้พวกท่านต้องเดือดร้อนกันทั้งสวรรค์
โดยเฉพาะในฝ่ายของพิรุณเทพ บัดนี้เราจะลุก
และขอให้ท่านทั้งหลายจงอโหสิกรรมในกรรมที่เราทำกับพวกท่านด้วย
เฉกเช่นกันเราก็จะอโหสิกรรมให้กับพวกท่านทุกๆองค์เหมือนกัน
ดังนั้นเมื่อตัดสินใจลุกแล้วขอท่านจงตกตามฤดูกาลของพวกท่านต่อไปเถอะ”
เมื่อผู้เขียนพูดไปอย่างนี้พิรุณเทพเหล่านั้นก็สาธุการขึ้นพร้อมๆกันในการตัดสินใจของผู้เขียน
แล้วก็รำลากันว่า “เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วพวกกระผมก็คงต้องขอลาท่านไปฝากท่านนั้นจงนำ
ความจริงข้อนี้ไปสู่นักปฏิบัติทั้งหลายในกาลข้างหน้านี้ด้วยว่า
ผู้มีฤทธิ์ไม่ใช่ว่าการใช้ฤทธิ์นั้นจะประเสริฐเสมอไป ถ้าใช้ในทางที่ดีก็ดี
ถ้าใช้ในทางที่ไม่ดีก็ไม่ควรจะใช้
แม้ใช้ในทางที่ดีก็ไม่ควรจะใช้เพราะว่าจะเป็นการไปกระทบกระทั่งธรรมชาติ
จริงๆแล้วฤทธิ์มีไว้ให้รู้ไม่ได้มีไว้ให้ใช้
ตอนนี้พวกกระผมคงต้องลาไปแล้ว”
แล้วพิรุณเทพทั้งหลาย กองทัพแห่งเทวดาทั้งหลายนั้นก็จากไป
ทยอยกลับไปขึ้นไปบนที่ๆพวกเขามากัน
ผู้เขียนนั้นก็ตั้งคำถอนอธิฐานแล้วก็ลุกขึ้นเพื่อไม่ให้ใครเดือดร้อนอีกจากการที่ตนได้กระทำ
เมื่อผู้เขียนลุกขึ้นจากที่นั่งนั้นเดินกลับเข้าไปในกุฏิเพียงแค่เดินเข้าไปในร่มชายคาของกุฏิเท่านั้น
ยังไม่ทันได้เข้ากุฏิ
ฝนที่ทำท่าจะตกอย่างแรงมาตั้งนานแล้วก็ได้ตกลงมาเป็นห่าใหญ่แบบที่เหมือนกับว่าอั้นมานาน
เมื่อผู้เขียนเข้าไปในกุฏิปุ๊บ เห็นฝนตกมาหนักขนาดนี้ก็มานั่งถามตัวเองว่า
เออเรานี่หนอ เพราะความคิดแผลงๆของตน
เกิดจะทำให้บางสิ่งบางอย่างผิดพลาดไปไม่เป็นไปตามธรรมชาติแล้ว
นับแต่นี้ต่อไปเราจะใช้ฤทธิ์หรือความตั้งใจในสิ่งที่ควรเท่านั้น
เรื่องราวของผีตัวที่ 8
ที่ผู้เขียนเอามาเล่าให้ฟังนี้ก็เพียงเพื่อจะเตือนสติให้ผู้ที่มีฤทธิ์ทั้งหลายจงใช้ความยับยั้งช่างใจในการใช้ฤทธิ์
อย่าหลงระเริงกับความที่ท่านเป็นผู้มีฤทธิ์เลย เพราะว่าการที่ท่านใช้ฤทธินั้น
ถึงแม้จะมีประโยชน์มันก็มีโทษเหมือนกัน
จงเก็บฤทธิ์ไว้เป็นสมบัติส่วนตนของท่านเถิดอย่าใช้อย่างพร่ำเผื่อเลย
ขอฝากนักปฏิบัติทั้งหลายไว้ด้วยสำหรับเรื่องนี้ เรื่องของผีตัวที่ 8
คือพิรุณเทพนี้ก็คงจะต้องจบลงเพียงเท่านี้ ยังไงก็ตามยังมีผีตัวที่ 9
รอผู้อ่านทั้งหลายได้ติดตามอยู่ และคิดว่าคงจะมีตัวต่อๆไปอีกไม่รู้ไม่จบ
ยังไงก็ตามกันต่อไปแล้วกันนะ วันนี้ก็แค่นี้แหละ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น