คุยกับผีตัวที่ 10
ผีงูเจ้าที่เจ้าทาง
พบกันอีกครั้งนะครับกับเรื่องราวของผีตัวที่ 10 ให้รอกันนานหน่อยนะครับแต่ไม่ต้องกังวลนะครับไม่ได้หายไปไหนก็จะมีเรื่องราวดีดีมาเล่าให้ทุกท่านฟังแน่นอน ว่าแล้วก็เริ่มกันเลย ดีกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากที่กลับจากวัดที่ผู้เขียนได้ไปถือศีลกลับมาได้ไม่นาน จากนั้นผู้เขียนก็ได้เดินทางไปพิสูจน์ความจริงบางอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับผู้เขียนมาก่อนหน้านั้นประมาณ 2 ปี ก่อนที่ผู้เขียนจะได้พบท่านพ่อยมบาลที่ได้เคยเล่าให้ฟังไป เหตุการณ์ในตอนนั้นมีอยู่ว่า ผู้เขียนได้พานักศึกษารุ่นน้องไปรับน้องที่น้ำตกแห่งหนึ่งใน จ.สระบุรี ซึ่งมีน้ำตกอยู่หลายแห่งตอนนั้นผู้เขียนก็ยังไม่ค่อยเชื่อและรู้อะไรมากนัก แต่เหตุการณ์ที่สำคัญที่ทำให้ผู้เขียนไม่เคยลืมเลยก็คือ ผู้เขียนประสบอุบัติเหตุขับรถไปพลิกคว่ำที่นั่นแต่รอดมาได้ โดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็ยเลยแม้แต่น้อย แต่ตอนนั้นมีคนที่มีวิชาอาคมบอกกับผู้เขียนว่า เจ้าที่ในที่ผู้เขียนได้ไปทำกิจกรรมรับน้องต้องการเอาชีวิตผู้เขียนคือจะเอาไปเป็นบริวาร ตอนนั้นผู้เขียนก็พยายามหาข้อมูลของเจ้าที่คนนั้นจากคนแถวนั้นซึ่งเป็นลูกหลานของเจ้าที่นั่น ได้ความว่าเจ้าที่คนนี้สมัยมีชีวิตเป็นหมอเขมรมีวิชาอาคมแก่กล้ามากโดยเฉพาะคุณไสยแต่เอาไปใช้ในทางที่ชั่ว ก่อนตายถูกไฟคลอกในมุ้งของตัวเองทำให้บาดเจ็บสาหัส ช่วงล่างตั้งแต่เอวลงไปไหม้หมดกลายเป็นแผลเน่าเหม็นจนสุดท้ายทนพิษบาดแผลอีกต่อไปไม่ไหวจึงตายไปในที่สุด เมื่อตายไปแล้ววิญญาณจึงไม่ยอมไปไหนกลายเป็นผีอยู่ที่นั่นและด้วยสมัยที่มีชีวิตอยู่นั้น เป็นคนมีวิชาอาคมแก่กล้า เวลาตายไปดวงจิตจึงมีพลังแก่กล้าจึงไม่ยอมไปไหนตั้งตัวเป็นเจ้าที่ที่นั่น จนพบกับผู้เขียนและต้องการจะเอาผู้เขียนไปเป็นบริวาร นี่แหละเป็นเรื่องราวที่ทำให้ผู้เขียนต้องกลับไปพิสูจน์ความจริงว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นความจริงหรือไม่ เพราะเวลานั้นผู้เขียนยังไม่มีวิชาความรู้ที่พอจะรู้ได้ แต่หลังจากได้ประพฤติธรรมมาพอสมควรแล้วและมั่นใจว่าจิตดีแล้วจึงกลับไปเพื่อพิสูจน์ความจริงนั้นอีกครั้ง แต่ต้องบอกคุณผู้อ่านทุกท่านไว้ก่อนนะครับว่าการที่ผู้ขียนกลับไปที่นั่นอีกครั้งไม่ได้มีใจที่จะไปลองของเลย แค่อยากรู้ความจริงเท่านั้นว่าเรื่องทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองนั้นเป็นความจริงหรือเปล่า และถ้าเวลานั้นได้ทำอะไรผิดพลั้งพลาดไปต่อเจ้าที่ตนนั้น ก็จะไปขอขมาลาโทษกันจะได้ไม่ต้องติดค้างกัน เรื่องราวที่เป็นเหตุที่ทำให้ต้องกลับไปที่นั่นก็เป็นดังนี้ มันอาจจะมีอะไรที่ลึกกว่านั้นแต่อย่าไปรู้มันเลยครับ เอาแค่นี้ก็พอเพราะมันเป็นสิ่งที่เกินกว่าจะอธิบายด้วยถ้อยคำ เรามาเริ่มตรงที่ว่า หลังจากกลับมาจากการถือศีล 8 ที่วัดแล้ว ไม่นานผู้เขียนก็เดินทางไปที่ จ.สระบุรีเพื่อไปพิสูจน์ความจริงที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านั้น ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น วันนั้นเมื่อผู้เขียนตั้งใจว่าจะไปที่นั่นก็ได้กำหนดจิตไปก่อน ในขณะที่กำหนดจิตอยู่นั้นเวลานั้นท้องฟ้าก็มืดลงไปชั่วครู่หนึ่งทั้งที่เป็นเวลาประมาณสายๆใกล้เที่ยง แต่ผู้เขียนก็ไม่ได้คิดอะไรคิดว่า ฝนคงจะตกเพราะเป็นหน้าฝน แต่สรุปว่าวันนั้นทั้งวันฝนไม่ตกเลย แปลก! ได้เวลาเดินทาง ผู้เขียนเดินทางไปโดยรถทัวร์ปรับอากาศกว่าจะได้เดินทางก็ปาเข้าไปช่วงบ่ายแล้ว ในขณะที่กำลังเดินทางไปนั้น มันมีความรู้สึกตื่นเต้นตลอดทางเมื่อคิดถึงเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อน แต่ก็ไม่ได้กลัวอะไรกลับคิดว่าครั้งนี้ที่ไปจะเป็นอย่างไรหนอ รถทัวร์ยิ่งใกล้ถึงจุดหมายเข้าไปทุกทีผู้เขียนก็เริ่มต้องทำใจให้สงบมากขึ้น สรุปว่าวันนั้นไปถึงประมาณเกือบสองทุ่มแล้วผู้เขียนก็ขอเข้าไปพักที่เดิมแต่เจ้าของที่ห้ามไม่ให้เข้าไปพักแล้วเพราะที่แห่งนั้นถูกทิ้งร้างไป ผู้เขียนจึงหาที่พักใกล้ๆกันติดรั้วกันเลย เมื่อได้ห้องพักก็ทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว ผู้เขียนก็ออกไปเดินเล่นข้างนอกห้องพัก ส่วนใหญ่ที่พักแถวนั้นเป็นรีสอร์ทมีสวนหย่อมสวยงามและที่ที่ผู้เขียนไปพักในวันนั้นก็พักที่รีสอร์ทที่ตกแต่งสวนอย่างสวยงามเช่นกัน จนเวลาประมาณ 4 ทุ่มกว่าแล้วบริเวณนั้นมืดสนิท และผู้ที่ไปพักก็คงพักผ่อนในห้องพักของตนกันหมดแล้วจึงไม่มีเห็นใครเลย อีกอย่างช่วงที่ไปเป็นวันธรรมดาไม่ใช่วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ จึงไม่ค่อยมีแขกมาพัก จึงเงียบมากมีแต่เสียงน้ำตกเท่านั้นที่ดังตลอดเวลา ไม่มีใครแล้วเห็นว่าเป็นเวลาสมควรที่จะทำสิ่งที่ตั้งใจมาที่นี่จึงเดินไปหาที่ที่เหมาะ เป็นบริเวณแนวโขดหินริมน้ำตก ลับตาคน พอได้ที่เหมาะแล้วผู้เขียนก็ลงนั่งกรรมฐาน ทำสมาธิรวบรวมจิต ไม่นานก็ปรากฏภาพของผีมากมายเต็มไปทั่วบริเวณนั้นโผล่ออกมาตัวแล้วตัวเล่าผีทุกตัวต่างมองมาที่ผู้เขียน คงด้วยความสงสัยว่าผู้เขียนมาทำอะไร แต่ละตัวที่โผล่มานั้นคงไม่ต้องให้บรรยายกันนะว่ารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ยิ่งพวกพรายที่ขึ้นจากน้ำตกด้วยแล้ว อย่าให้พูดเลยครับ สุดยอด ขณะนั้นผู้เขียนก็ได้แผ่เมตตาอุทิศบุญกุศลไปให้พวกเขาในขณะที่แผ่เมตตาไปนั้นปรากฏมีละอองเหมือนดาวระยิบระยับแผ่อกไปทั่วลงมาจากฟ้าแล้วผีเหล่านั้นก็พากันเอามือไปจับถือเอาอย่างมีความสุขใครที่จับดาวเหล่านั้นได้ก็จะมีรูปร่างหน้าตาผิวพรรณงดงามขึ้น บ้างกลายเป็นอาหาร บ้างกลายเป็นเสื้อผ้า ให้สวมใส่ ตามแต่ความปรารถนาของผีนั้นๆ ผีตัวไหนได้รับแล้วก็ก้มลงกราบผู้เขียน ไปทั่วบริเวณก็นับจำนวนไม่ได้เลยมากมายเหลือเกิน แต่ที่สำคัญผีตัวที่ผู้เขียนอยากจะเจอยังไม่ปรากฏตัวขึ้นให้เห็นเลย ผู้เขียนจึงกำหนดจิตว่า “ท่านเจ้าที่ที่เคยพบกับเราจงมาปรากฏตัวตรงหน้าเราเถิด” ไม่นานหลังจากตั้งจิตอธิษฐาน ได้ปรากฏ ภาพของงูตัวใหญ่มากเลื้อยเข้ามาหาเรา ลำตัวใหญ่ประมาณ เท่าล้อรถยนต์ ยาวประมาณสัก 10 กว่าเมตรได้ เลื้อยเข้ามา จนถึงตัวผู้เขียน จากนั้นงูนั้นก็พันรอบตัวผู้เขียนแล้วขดเข้าเป็นวงข้างใต้ที่นั่งของผู้เขียน ยกผู้เขียนขึ้น นั่งบนยอดของขดลำตัวนั้น ส่วนหัวก็ชูขึ้นไปแผ่พังพานบนเหนือศีรษะผู้เขียน ลักษณะเหมือนพระพุทธรูปปางนาคปรกนั่นแหละ ผู้เขียนเห็นดังนั้นจึงถามไปว่า “ ท่านกำลังจะทำอะไร” งูใหญ่นั้นตอบว่า “เรากำลังปรกให้ท่าน” ผู้เขียนถามกลับไปว่า “ทำไมต้องมาปรกให้เรา” งูใหญ่นั้นตอบว่า “เพราะรัศมีแห่งบุญบารมีของท่านเจิดจ้ามากเราจึงอยากจะขอเป็นบริวารคอยปกป้องท่านเพื่อประโยชน์ในการสร้างบุญบารมีของเรา”“อย่าเลยท่านอย่าอยากเป็นบริวารเราเลย เรามาที่นี่เพื่อมาพิสูจน์เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้วเกี่ยวกับท่าน และคิดว่าจะมาขอขมาต่อท่านหากตอนนั้นเราล่วงเกินท่านไป”งูใหญ่ได้ฟังดังนั้นก็พูดขึ้นว่า “ท่านนี่นอกจากจะไม่เคยโกรธเราที่เคยกระทำถึงขั้นจะเอาชีวิตท่าน กลับจะมาขอขมาต่อเราด้วย ประเสริฐแท้ เราเองต่างหากที่เวลานั้นได้กระทำไม่ดีต่อท่านคิดจะเอาชีวิตของท่าน เราต่างหากที่ต้องขอให้ท่านยกโทษนั้นให้แก่เรา”แล้วงูใหญ่นั้นก็พูดอีกว่า “เราไม่เคยคิดเลยว่า ท่านจะทำได้ถึงขนาดนี้ และจะมีบารมีมากขนาดนี้ เราเกือบทำบาปมหันต์แล้วสิ ประทุษร้ายคนดี ขอท่านจงให้อภัยแก่เราด้วยเถอะ” ผู้เขียนพูดไปว่า “เอาเถอะเอาเป็นว่าเราทั้งสองคนต่างอภัยให้กันละกันเถอะนะ จะได้ไม่ติดค้างกันอีก และท่านก็ไม่ต้องมาเป็นบริวารเราด้วย เรามาเป็นเพื่อนกันเถอะเป็นมิตรต่อกัน วันข้างหน้าจะได้พึ่งพาอาศัยกันอีก อ่อ ว่าแต่ท่านเถอะ ตอนนั้นที่เราพบท่านท่านไม่ได้เป็นอย่างนี้นี่นา ตอนนั้นท่านยังมีครึ่งบนเป็นคน ครึ่งล่างเป็นงูอยู่เลย ทำไมตอนนี้ท่านจึงเป็นได้ทั้งงูใหญ่และเป็นคนได้เต็มตัวแล้วล่ะ”ผู้เขียนถามไป งูใหญ่ตอบกลับมาว่า “หลังจากมีเรื่องราวกับท่านตอนนั้น เราก็รู้ว่าขนาดท่านเป็นคนธรรมดาเรายังทำอะไรท่านไม่ได้เพราะอะไร จึงพิจารณาใคร่ครวญ จึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วสรรพวิญญาณทั้งหลายจะเจริญขึ้นหรือเสื่อมลงก็เพราะอำนาจบุญบาปของตนท่านคงเป็นผู้มีบุญใหญ่ แน่นอน เราจึงตั้งใจบำเพ็ญบุญกุศลตั้งแต่นั้นมา จนวันนี้จึงได้เลื่อนชั้นเป็นเจ้าที่เจ้าทางเต็มตัวอย่างที่เห็นมิได้เป็นเจ้าที่เกเรเหมือนแต่ก่อน แต่เมื่อเทียบไปแล้ว กลับสู้ท่านไม่ได้เลย ท่านไปได้ไกลกว่าเราเสียอีก มากด้วยบุญบารมี นี่แหละหนา มนุษย์นั้นมีโอกาสสร้างบุญได้มากกว่าภพอื่น ไม่ว่าจะเป็นศีลหรือทาน มนุษย์ก็ทำได้ดีกว่า ท่านกับเราจึงต่างกัน ทั้งๆที่ เรานั้นรู้ก่อนท่านแต่ท่านกลับไปได้ไกลกว่าเร็วกว่า คิดแล้วก็น่าสมเพชพวกมนุษย์ที่ยังไม่รู้ค่าของตนเอาความเป็นมนุษย์ไปประกอบแต่กรรมชั่วช้า เหมือนดังเราเมื่อตอนเป็นมนุษย์ไม่เคยคิดสร้างบุญกุศลทำแต่ความชั่ว พอตายก็ลำบากอยู่นาน กว่าจะคิดได้ ก็เกือบทำบาปหนักอีก นี่ถ้ามนุษย์ทุกคนเป็นอย่างท่าน สรรพวิญญาณทุกข์ทั้งหลายก็คงลดน้อยลง ถึงต้องท่องเที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่ก็ไปแต่ภพที่เป็นสุขคติโลกสวรรค์”พูดจบ งูใหญ่นั้นก็เงียบเหมือนทบทวนอะไรอยู่สักพักแล้วก็พูดขึ้นว่า “เฮ้อ! วันนี้คงต้องไปแล้ว วันหน้าถ้าท่านมีโอกาสผ่านมาที่นี่อีกก็มาเยี่ยมเราบ้าง แล้วถ้าท่านเดือดร้อนอะไรขอให้บอกเราได้ตลอดเวลา ถ้าเราช่วยได้เราจะช่วยท่าน”“ไม่เป็นไรหรอก ขอบคุณในความมีน้ำใจของท่านมาก เราคงไม่รบกวนท่านหรอกงานของเจ้าที่เจ้าทางก็มีมากพอแล้ว เราขอให้ท่านตั้งใจบำเพ็ญเพียรต่อไปเพื่อภพที่สูงขึ้นตามความปรารถนาของท่าน นี่ถ้าวันนี้เราไม่ได้มาที่นี่เราคงไม่รู้ว่าท่านเป็นอย่างไร แต่พอเรารู้ว่าท่านดีขึ้น พัฒนาดวงจิตขึ้นได้แล้วเราก็สบายใจแล้ว ไปเถอะถ้าท่านจะไป เราคงไม่รบกวนท่านแล้ว” งูใหญ่นั้นคลายฤทธิ์กลับเป็นร่างมนุษย์แล้วก้มกราบผู้เขียนพร้อมกับลาไป ผู้เขียนได้แผ่เมตตาไม่มีประมาณไปอีกสักพักจึงออกจากสมาธิแล้วก็ไปพักผ่อนพร้อมด้วยใจที่เบิกบานเพราะได้ทำสิ่งที่ตั้งใจไว้อย่างบริบูรณ์แล้วดีกว่าที่คิดด้วยซ้ำ ยังคงมีเรื่องราวที่ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจให้ศึกษากันอีกมากมาย โดยเฉพาะเรื่องเหนือธรรมชาติที่ยากต่อการพิสูจน์ สำหรับผู้เขียนแล้วการเดินทางเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเรื่องราวของผีตัวที่ 10 ก็จบลงเพียงเท่านี้ คอยติดตามเรื่องราวของผีตัวที่ 11 กันต่อวันหน้านะครับ
พบกันอีกครั้งนะครับกับเรื่องราวของผีตัวที่ 10 ให้รอกันนานหน่อยนะครับแต่ไม่ต้องกังวลนะครับไม่ได้หายไปไหนก็จะมีเรื่องราวดีดีมาเล่าให้ทุกท่านฟังแน่นอน ว่าแล้วก็เริ่มกันเลย ดีกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากที่กลับจากวัดที่ผู้เขียนได้ไปถือศีลกลับมาได้ไม่นาน จากนั้นผู้เขียนก็ได้เดินทางไปพิสูจน์ความจริงบางอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับผู้เขียนมาก่อนหน้านั้นประมาณ 2 ปี ก่อนที่ผู้เขียนจะได้พบท่านพ่อยมบาลที่ได้เคยเล่าให้ฟังไป เหตุการณ์ในตอนนั้นมีอยู่ว่า ผู้เขียนได้พานักศึกษารุ่นน้องไปรับน้องที่น้ำตกแห่งหนึ่งใน จ.สระบุรี ซึ่งมีน้ำตกอยู่หลายแห่งตอนนั้นผู้เขียนก็ยังไม่ค่อยเชื่อและรู้อะไรมากนัก แต่เหตุการณ์ที่สำคัญที่ทำให้ผู้เขียนไม่เคยลืมเลยก็คือ ผู้เขียนประสบอุบัติเหตุขับรถไปพลิกคว่ำที่นั่นแต่รอดมาได้ โดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็ยเลยแม้แต่น้อย แต่ตอนนั้นมีคนที่มีวิชาอาคมบอกกับผู้เขียนว่า เจ้าที่ในที่ผู้เขียนได้ไปทำกิจกรรมรับน้องต้องการเอาชีวิตผู้เขียนคือจะเอาไปเป็นบริวาร ตอนนั้นผู้เขียนก็พยายามหาข้อมูลของเจ้าที่คนนั้นจากคนแถวนั้นซึ่งเป็นลูกหลานของเจ้าที่นั่น ได้ความว่าเจ้าที่คนนี้สมัยมีชีวิตเป็นหมอเขมรมีวิชาอาคมแก่กล้ามากโดยเฉพาะคุณไสยแต่เอาไปใช้ในทางที่ชั่ว ก่อนตายถูกไฟคลอกในมุ้งของตัวเองทำให้บาดเจ็บสาหัส ช่วงล่างตั้งแต่เอวลงไปไหม้หมดกลายเป็นแผลเน่าเหม็นจนสุดท้ายทนพิษบาดแผลอีกต่อไปไม่ไหวจึงตายไปในที่สุด เมื่อตายไปแล้ววิญญาณจึงไม่ยอมไปไหนกลายเป็นผีอยู่ที่นั่นและด้วยสมัยที่มีชีวิตอยู่นั้น เป็นคนมีวิชาอาคมแก่กล้า เวลาตายไปดวงจิตจึงมีพลังแก่กล้าจึงไม่ยอมไปไหนตั้งตัวเป็นเจ้าที่ที่นั่น จนพบกับผู้เขียนและต้องการจะเอาผู้เขียนไปเป็นบริวาร นี่แหละเป็นเรื่องราวที่ทำให้ผู้เขียนต้องกลับไปพิสูจน์ความจริงว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นความจริงหรือไม่ เพราะเวลานั้นผู้เขียนยังไม่มีวิชาความรู้ที่พอจะรู้ได้ แต่หลังจากได้ประพฤติธรรมมาพอสมควรแล้วและมั่นใจว่าจิตดีแล้วจึงกลับไปเพื่อพิสูจน์ความจริงนั้นอีกครั้ง แต่ต้องบอกคุณผู้อ่านทุกท่านไว้ก่อนนะครับว่าการที่ผู้ขียนกลับไปที่นั่นอีกครั้งไม่ได้มีใจที่จะไปลองของเลย แค่อยากรู้ความจริงเท่านั้นว่าเรื่องทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองนั้นเป็นความจริงหรือเปล่า และถ้าเวลานั้นได้ทำอะไรผิดพลั้งพลาดไปต่อเจ้าที่ตนนั้น ก็จะไปขอขมาลาโทษกันจะได้ไม่ต้องติดค้างกัน เรื่องราวที่เป็นเหตุที่ทำให้ต้องกลับไปที่นั่นก็เป็นดังนี้ มันอาจจะมีอะไรที่ลึกกว่านั้นแต่อย่าไปรู้มันเลยครับ เอาแค่นี้ก็พอเพราะมันเป็นสิ่งที่เกินกว่าจะอธิบายด้วยถ้อยคำ เรามาเริ่มตรงที่ว่า หลังจากกลับมาจากการถือศีล 8 ที่วัดแล้ว ไม่นานผู้เขียนก็เดินทางไปที่ จ.สระบุรีเพื่อไปพิสูจน์ความจริงที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านั้น ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น วันนั้นเมื่อผู้เขียนตั้งใจว่าจะไปที่นั่นก็ได้กำหนดจิตไปก่อน ในขณะที่กำหนดจิตอยู่นั้นเวลานั้นท้องฟ้าก็มืดลงไปชั่วครู่หนึ่งทั้งที่เป็นเวลาประมาณสายๆใกล้เที่ยง แต่ผู้เขียนก็ไม่ได้คิดอะไรคิดว่า ฝนคงจะตกเพราะเป็นหน้าฝน แต่สรุปว่าวันนั้นทั้งวันฝนไม่ตกเลย แปลก! ได้เวลาเดินทาง ผู้เขียนเดินทางไปโดยรถทัวร์ปรับอากาศกว่าจะได้เดินทางก็ปาเข้าไปช่วงบ่ายแล้ว ในขณะที่กำลังเดินทางไปนั้น มันมีความรู้สึกตื่นเต้นตลอดทางเมื่อคิดถึงเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อน แต่ก็ไม่ได้กลัวอะไรกลับคิดว่าครั้งนี้ที่ไปจะเป็นอย่างไรหนอ รถทัวร์ยิ่งใกล้ถึงจุดหมายเข้าไปทุกทีผู้เขียนก็เริ่มต้องทำใจให้สงบมากขึ้น สรุปว่าวันนั้นไปถึงประมาณเกือบสองทุ่มแล้วผู้เขียนก็ขอเข้าไปพักที่เดิมแต่เจ้าของที่ห้ามไม่ให้เข้าไปพักแล้วเพราะที่แห่งนั้นถูกทิ้งร้างไป ผู้เขียนจึงหาที่พักใกล้ๆกันติดรั้วกันเลย เมื่อได้ห้องพักก็ทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว ผู้เขียนก็ออกไปเดินเล่นข้างนอกห้องพัก ส่วนใหญ่ที่พักแถวนั้นเป็นรีสอร์ทมีสวนหย่อมสวยงามและที่ที่ผู้เขียนไปพักในวันนั้นก็พักที่รีสอร์ทที่ตกแต่งสวนอย่างสวยงามเช่นกัน จนเวลาประมาณ 4 ทุ่มกว่าแล้วบริเวณนั้นมืดสนิท และผู้ที่ไปพักก็คงพักผ่อนในห้องพักของตนกันหมดแล้วจึงไม่มีเห็นใครเลย อีกอย่างช่วงที่ไปเป็นวันธรรมดาไม่ใช่วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ จึงไม่ค่อยมีแขกมาพัก จึงเงียบมากมีแต่เสียงน้ำตกเท่านั้นที่ดังตลอดเวลา ไม่มีใครแล้วเห็นว่าเป็นเวลาสมควรที่จะทำสิ่งที่ตั้งใจมาที่นี่จึงเดินไปหาที่ที่เหมาะ เป็นบริเวณแนวโขดหินริมน้ำตก ลับตาคน พอได้ที่เหมาะแล้วผู้เขียนก็ลงนั่งกรรมฐาน ทำสมาธิรวบรวมจิต ไม่นานก็ปรากฏภาพของผีมากมายเต็มไปทั่วบริเวณนั้นโผล่ออกมาตัวแล้วตัวเล่าผีทุกตัวต่างมองมาที่ผู้เขียน คงด้วยความสงสัยว่าผู้เขียนมาทำอะไร แต่ละตัวที่โผล่มานั้นคงไม่ต้องให้บรรยายกันนะว่ารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ยิ่งพวกพรายที่ขึ้นจากน้ำตกด้วยแล้ว อย่าให้พูดเลยครับ สุดยอด ขณะนั้นผู้เขียนก็ได้แผ่เมตตาอุทิศบุญกุศลไปให้พวกเขาในขณะที่แผ่เมตตาไปนั้นปรากฏมีละอองเหมือนดาวระยิบระยับแผ่อกไปทั่วลงมาจากฟ้าแล้วผีเหล่านั้นก็พากันเอามือไปจับถือเอาอย่างมีความสุขใครที่จับดาวเหล่านั้นได้ก็จะมีรูปร่างหน้าตาผิวพรรณงดงามขึ้น บ้างกลายเป็นอาหาร บ้างกลายเป็นเสื้อผ้า ให้สวมใส่ ตามแต่ความปรารถนาของผีนั้นๆ ผีตัวไหนได้รับแล้วก็ก้มลงกราบผู้เขียน ไปทั่วบริเวณก็นับจำนวนไม่ได้เลยมากมายเหลือเกิน แต่ที่สำคัญผีตัวที่ผู้เขียนอยากจะเจอยังไม่ปรากฏตัวขึ้นให้เห็นเลย ผู้เขียนจึงกำหนดจิตว่า “ท่านเจ้าที่ที่เคยพบกับเราจงมาปรากฏตัวตรงหน้าเราเถิด” ไม่นานหลังจากตั้งจิตอธิษฐาน ได้ปรากฏ ภาพของงูตัวใหญ่มากเลื้อยเข้ามาหาเรา ลำตัวใหญ่ประมาณ เท่าล้อรถยนต์ ยาวประมาณสัก 10 กว่าเมตรได้ เลื้อยเข้ามา จนถึงตัวผู้เขียน จากนั้นงูนั้นก็พันรอบตัวผู้เขียนแล้วขดเข้าเป็นวงข้างใต้ที่นั่งของผู้เขียน ยกผู้เขียนขึ้น นั่งบนยอดของขดลำตัวนั้น ส่วนหัวก็ชูขึ้นไปแผ่พังพานบนเหนือศีรษะผู้เขียน ลักษณะเหมือนพระพุทธรูปปางนาคปรกนั่นแหละ ผู้เขียนเห็นดังนั้นจึงถามไปว่า “ ท่านกำลังจะทำอะไร” งูใหญ่นั้นตอบว่า “เรากำลังปรกให้ท่าน” ผู้เขียนถามกลับไปว่า “ทำไมต้องมาปรกให้เรา” งูใหญ่นั้นตอบว่า “เพราะรัศมีแห่งบุญบารมีของท่านเจิดจ้ามากเราจึงอยากจะขอเป็นบริวารคอยปกป้องท่านเพื่อประโยชน์ในการสร้างบุญบารมีของเรา”“อย่าเลยท่านอย่าอยากเป็นบริวารเราเลย เรามาที่นี่เพื่อมาพิสูจน์เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้วเกี่ยวกับท่าน และคิดว่าจะมาขอขมาต่อท่านหากตอนนั้นเราล่วงเกินท่านไป”งูใหญ่ได้ฟังดังนั้นก็พูดขึ้นว่า “ท่านนี่นอกจากจะไม่เคยโกรธเราที่เคยกระทำถึงขั้นจะเอาชีวิตท่าน กลับจะมาขอขมาต่อเราด้วย ประเสริฐแท้ เราเองต่างหากที่เวลานั้นได้กระทำไม่ดีต่อท่านคิดจะเอาชีวิตของท่าน เราต่างหากที่ต้องขอให้ท่านยกโทษนั้นให้แก่เรา”แล้วงูใหญ่นั้นก็พูดอีกว่า “เราไม่เคยคิดเลยว่า ท่านจะทำได้ถึงขนาดนี้ และจะมีบารมีมากขนาดนี้ เราเกือบทำบาปมหันต์แล้วสิ ประทุษร้ายคนดี ขอท่านจงให้อภัยแก่เราด้วยเถอะ” ผู้เขียนพูดไปว่า “เอาเถอะเอาเป็นว่าเราทั้งสองคนต่างอภัยให้กันละกันเถอะนะ จะได้ไม่ติดค้างกันอีก และท่านก็ไม่ต้องมาเป็นบริวารเราด้วย เรามาเป็นเพื่อนกันเถอะเป็นมิตรต่อกัน วันข้างหน้าจะได้พึ่งพาอาศัยกันอีก อ่อ ว่าแต่ท่านเถอะ ตอนนั้นที่เราพบท่านท่านไม่ได้เป็นอย่างนี้นี่นา ตอนนั้นท่านยังมีครึ่งบนเป็นคน ครึ่งล่างเป็นงูอยู่เลย ทำไมตอนนี้ท่านจึงเป็นได้ทั้งงูใหญ่และเป็นคนได้เต็มตัวแล้วล่ะ”ผู้เขียนถามไป งูใหญ่ตอบกลับมาว่า “หลังจากมีเรื่องราวกับท่านตอนนั้น เราก็รู้ว่าขนาดท่านเป็นคนธรรมดาเรายังทำอะไรท่านไม่ได้เพราะอะไร จึงพิจารณาใคร่ครวญ จึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วสรรพวิญญาณทั้งหลายจะเจริญขึ้นหรือเสื่อมลงก็เพราะอำนาจบุญบาปของตนท่านคงเป็นผู้มีบุญใหญ่ แน่นอน เราจึงตั้งใจบำเพ็ญบุญกุศลตั้งแต่นั้นมา จนวันนี้จึงได้เลื่อนชั้นเป็นเจ้าที่เจ้าทางเต็มตัวอย่างที่เห็นมิได้เป็นเจ้าที่เกเรเหมือนแต่ก่อน แต่เมื่อเทียบไปแล้ว กลับสู้ท่านไม่ได้เลย ท่านไปได้ไกลกว่าเราเสียอีก มากด้วยบุญบารมี นี่แหละหนา มนุษย์นั้นมีโอกาสสร้างบุญได้มากกว่าภพอื่น ไม่ว่าจะเป็นศีลหรือทาน มนุษย์ก็ทำได้ดีกว่า ท่านกับเราจึงต่างกัน ทั้งๆที่ เรานั้นรู้ก่อนท่านแต่ท่านกลับไปได้ไกลกว่าเร็วกว่า คิดแล้วก็น่าสมเพชพวกมนุษย์ที่ยังไม่รู้ค่าของตนเอาความเป็นมนุษย์ไปประกอบแต่กรรมชั่วช้า เหมือนดังเราเมื่อตอนเป็นมนุษย์ไม่เคยคิดสร้างบุญกุศลทำแต่ความชั่ว พอตายก็ลำบากอยู่นาน กว่าจะคิดได้ ก็เกือบทำบาปหนักอีก นี่ถ้ามนุษย์ทุกคนเป็นอย่างท่าน สรรพวิญญาณทุกข์ทั้งหลายก็คงลดน้อยลง ถึงต้องท่องเที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่ก็ไปแต่ภพที่เป็นสุขคติโลกสวรรค์”พูดจบ งูใหญ่นั้นก็เงียบเหมือนทบทวนอะไรอยู่สักพักแล้วก็พูดขึ้นว่า “เฮ้อ! วันนี้คงต้องไปแล้ว วันหน้าถ้าท่านมีโอกาสผ่านมาที่นี่อีกก็มาเยี่ยมเราบ้าง แล้วถ้าท่านเดือดร้อนอะไรขอให้บอกเราได้ตลอดเวลา ถ้าเราช่วยได้เราจะช่วยท่าน”“ไม่เป็นไรหรอก ขอบคุณในความมีน้ำใจของท่านมาก เราคงไม่รบกวนท่านหรอกงานของเจ้าที่เจ้าทางก็มีมากพอแล้ว เราขอให้ท่านตั้งใจบำเพ็ญเพียรต่อไปเพื่อภพที่สูงขึ้นตามความปรารถนาของท่าน นี่ถ้าวันนี้เราไม่ได้มาที่นี่เราคงไม่รู้ว่าท่านเป็นอย่างไร แต่พอเรารู้ว่าท่านดีขึ้น พัฒนาดวงจิตขึ้นได้แล้วเราก็สบายใจแล้ว ไปเถอะถ้าท่านจะไป เราคงไม่รบกวนท่านแล้ว” งูใหญ่นั้นคลายฤทธิ์กลับเป็นร่างมนุษย์แล้วก้มกราบผู้เขียนพร้อมกับลาไป ผู้เขียนได้แผ่เมตตาไม่มีประมาณไปอีกสักพักจึงออกจากสมาธิแล้วก็ไปพักผ่อนพร้อมด้วยใจที่เบิกบานเพราะได้ทำสิ่งที่ตั้งใจไว้อย่างบริบูรณ์แล้วดีกว่าที่คิดด้วยซ้ำ ยังคงมีเรื่องราวที่ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจให้ศึกษากันอีกมากมาย โดยเฉพาะเรื่องเหนือธรรมชาติที่ยากต่อการพิสูจน์ สำหรับผู้เขียนแล้วการเดินทางเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเรื่องราวของผีตัวที่ 10 ก็จบลงเพียงเท่านี้ คอยติดตามเรื่องราวของผีตัวที่ 11 กันต่อวันหน้านะครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น