คุยกับผีตัวที่ ๕ รุขเทวดา

หลังจากผีตัวที่ 3 ที่ผู้เขียนได้เจอกับพวกสัมเวสีแล้ว ตอนนั้นผู้เขียนเจอพวกผีสัมเวสี ตอนบ่ายวันที่สามหรือสี่ วันรุ่งขึ้นหลังจากผู้เขียนฉันเช้า ตอนนั้นบวชพารมณ์จึงเรียกฉัน ผู้เขียนฉันเช้าเสร็จ และตรงนั่นมันจะมีบริเวณหน้ากุฏิมันจะมีต้นไม้ใหญ่อยู่ประมาณ 3 ต้นและมีต้นไม้ขนาดธรรมดากลางๆอยู่ซักสิบยี่สิบต้นได้ ร่มเลยนะ และตรงใต้ต้นไม้ใหญ่มันจะมีแคร่ มันมีแคร่แต่ผู้เขียนไม่ได้นั่งตรงแคร่ ที่แรกผมไปเดินจงกรงก่อนรอบต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ 108 รอบ ผมก็เดินจงกรมไปก็บริกรรมบทแผ่เมตตาไปเรื่อยๆตลอดไปจนครบ108 รอบเสร็จผมก็ไปนั่งกรรมฐานใต้ต้นไม้ใหญ่ ขณะที่ผมนั่งกรรมฐานจิตมันรวมเป็นหนึ่ง กำลังจิตมันรวมเป็นหนึ่งปุ๊บ ภาพที่ผมเห็นก็คือมีผู้หญิงมานั่งอยู่ข้างๆ สองคน ข้างซ้ายคนข้างขวาคนถือพัดๆให้ ผมเห็นปุ๊บก็เลยถามว่าพวกท่านเป็นใคร คนหนึ่งในสองคนนั้นก็ตอบผมว่า “พวกเราเป็นรุกขเทวดาเป็นนางไม้ ”และท่านกำลังทำอะไรกัน “ก็ท่านปฏิบัติ มาเหนื่อย เห็นท่านเหนื่อยจากการเดินจงกลม เราก็เลยคิดว่าจะมาพัดให้ท่านเย็นให้ท่านสบาย” “ไม่ต้องหรอกไม่เป็นไรหรอกเราก็ทำของเราทุกวันอยู่อย่างนี้แหละ” “ก็เพราะว่าเราอยากอาศัยท่าน อาศัยท่านสร้างบารมีก็เลยอยากจะมาขอบารมีท่านตรงนี้ ก็คือมาช่วย” “แล้วพวกท่านอยู่กันกี่คน” “พวกเราอยู่กันเยอะเลยเป็นครอบครัวเลย นั่นไงปู่ของเรา” มองตามที่เขาพูดปุ๊บ ที่เขาชี้ไปผมก็เห็นปู่ของเขานั่งอยู่ ชื่อปู่สามภพนั่งอยู่แล้วก็ยิ้มมาทางเรา รอบๆปู่ก็จะมีกุมารก็คือมีเด็กมีรุกขเทวดาเด็กๆ วิ่งเล่นอยู่ และที่ปู่สามภพนั่งอยู่นั้นก็จะมีพ่อมีแม่มีญาติๆของเขานั่งอยู่ด้วย และบนต้นไม้แต่ละต้นนั้นก็เห็นรุกขเทวดาออกมาทุกต้น ก็ยกมือไหว้ผู้เขียน และก็ยิ้มให้เรา บ้างพวกก็กระโดดจากต้นนี้ไปต้นนั้น เหาะนะลักษณะคือเหาะจากต้นนี้ไปต้นนั้น บางพวกก็ลงมาที่พื้นดินมาวิ่งเล่นที่พื้นดินมาคุยกันมาทำอะไรที่พื้นดินกันเป็นลักษณะของการอยู่เป็นครอบครัว “นี่พวกนี้เป็นพวกท่านหมดเลย” “ใช่ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันหมดเลย” “อ้าวรุกขเทวดามีครอบครัวได้ด้วยเหรอ” “มีได้ ก็แต่งงานมีลูก” หมายถึงว่าชอบพอกัน รักกัน แล้วก็มีลูกได้ แต่ไม่ได้ท้อง แค่คิดว่ารักกันนะ เรามีอะไรกันในทางความรู้สึกปุ๊บเราอยากได้ลูกๆก็เกิดขึ้นมา ผู้เขียนถามต่อ ”พวกท่านทำอะไรกันวันนึง” “เรามีหน้าที่ดูแลต้นไม้ทั้งหลายแต่ละต้นนั้นก็จะมีครอบครัวพวกเราอยู่อาจจะมีคนหนึ่งบ้าง สองคนบ้าง สามคนบ้าง หรือหลายๆคนก็ได้ก็คือเป็นลูกเป็นหลาน” ที่คุยกับผู้เขียนเขาอยู่กันสองคนสามีกับภรรยาก็จะมีลูกๆกันกี่คนก็อยู่ในต้นไม้ต้นเดียวกันนั้นแหละ ผู้เขียนถามต่อ “อ้าวแล้วอยู่ปกปักษ์รักษาต้นไม้แล้วถ้าใครมาทำอะไรต้นไม้ละ” “ถ้าต้นไม้เป็นต้นไม้ที่ไปใช้ประโยชน์ในทางโลก เราก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะว่าในทางโลกเขาเอาไม้ไปทำการค้า เพียงแต่ว่าบ้างครั้งถ้าเราอาศัยอยู่นานๆเราเดือดร้อน ถ้าเราจะพูดก็คือว่าเราไม่อยากให้ใครตัดต้นไม้ 1.คือพวกเราเดือดร้อนอยากให้ท่านรู้ว่า พวกรุกขเทวดาเดือดร้อน พอต้นไม้ต้นหนึ่งถูกตัดปุ๊บรุกขเทวดาครอบครัวหนึ่งก็จะไม่มีที่ อยู่อาศัยแล้ว และก็ไปอยู่ต้นอื่นก็ไม่ได้ต้นอื่นเขาอยู่กันหมดแล้ว ก็ต้องไปหาที่อยู่ใหม่ที่ไกลออกไปอีก เรียกว่าย้ายครอบครัวไปเลย ย้ายจากถิ่นฐานไปเลย ไปแสวงหาป่าใหม่ หาที่อยู่ใหม่ หาต้นไม้ใหม่ หรือบ้างทีอาจจะอาศัยอยู่ในต้นไม้ใหญ่ที่มีครอบครัวตัวเองอยู่ก็จริง แต่ก็ต้องรอต้นไม้ใหม่ให้เกิดขึ้นมาแล้วไม่มีใครจองถึงจะเข้าไปอยู่ได้ มันเป็นความลำบากของพวกรุกขเทวดา ซึ่งมนุษย์ไม่รู้ ถ้าท่านพูดได้ขอให้ท่านไปบอกว่าอย่าตัดไม้เลยนะ การตัดไม้อาจทำให้โลกเดือดร้อน โลกไม่ร่มเย็น เป็นเรื่องที่คนเข้าใจจริง แต่ว่าในทาง จิตวิณญาณแล้วพวกเราก็เดือดร้อนมาก จึงไม่อยากให้ตัดต้นไม้ แต่ถามว่าเรามีฤทธิ์ที่จะ ไปขับไล่เขาไปทำร้ายเขาเราก็ไม่ทำหรอก สมมุติว่ามีคนจะมาตัดต้นไม้เราจะไปไล่เขา ไปหลอกเขาเราก็ไม่ทำ เพราะว่าโดยธรรมชาติแล้วเราก็ไม่ได้เป็นเจ้าของอะไรเหมือนกัน และอีกอย่างเราเป็นรุกขเทวดา เราเป็นพวกเทวดาหรือเทวดาชั้น 1 บนสวรรค์ชั้นที่ 1 เป็นเทวดาเราไม่คิดร้ายกับมนุษย์อยู่แล้ว ดังนั้นเราก็เลยไม่อยากจะไปทำร้ายมนุษย์ แต่อยากให้มนุษย์เข้าใจ ทางที่ดีอย่าตัดไม้ทำลายป่าดีกว่าเพราะต้นไม้แต่ละต้นนั้นมีเทวดาอยู่ทั้งนั้น บางต้นก็อยู่คนเดียว บางต้นก็อยู่กันเป็นครอบครัว สองคนบ้าง สามคนบ้าง สี่คนบ้าง ห้าคนบ้าง แล้วแต่ครอบครัวเขาจะมีลูกมีหลานเท่าไร และพวกเราไม่ได้คิดร้ายต่อมนุษย์” ผู้เขียนถาม “แล้วรุกขเทวดาอาศัยอยู่ในต้นไม้แล้วมีประโยชน์ต่อมนุษย์ยังไง” “ก็ช่วยเหลือมนุษย์ในทางที่เป็นไปได้ เช่น เมื่อมีเกิดเหตุเพศภัยบางครั้งเราก็จะไปเตือนในฝันก็ได้ ในนิมิตของมนุษย์ได้เหมือนกัน และถ้ามีพวกเราที่มีฤทธิ์มากก็สามารถจะไปสื่อสารกับมนุษย์ไปช่วย ไปบอกมนุษย์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในบริเวณนี้ให้มนุษย์เตรียมตัวได้หนีกัน รุกขเทวดาทำหน้าที่นี้ได้” “นอกจากการปกปักษ์รักษาต้นไม้ แล้วความเป็นอยู่ในต้นไม้ที่อยู่กันหลายๆคนท่านอึดอัดมั๊ย” “ไม่หรอก ในความเป็นเทวดาแล้วมันก็กว้างขวางพอที่จะอยู่ได้ ตามกิ่งก้าน ตามใบก็อยู่ได้” ผู้เขียนถาม “แล้วอยู่กับปริมาณมากๆอย่างนี้มีเรื่องขัดอกขัดใจกันบ้างมั๊ย” “ก็มีบ้างทะเลาะวิวาทก็เหมือนมนุษย์แหละ บ้างทีญาติกัน ไม่ถูกกันคือต้นนี้ไม่ถูกกับต้นนี้ก็ไม่อยากเห็นหน้ากันก็มี แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยเป็นหรอก ถ้ายังเชื่อในเรื่องของความดีงาม คุณธรรมความดีก็จะไม่ทะเลาะกัน แต่ก็มีบ้างไม่ถูกกัน บางทีก็ต้องย้ายไปเลย” ผู้เขียนถามต่อ “แล้วการให้โชคลาภกับมนุษย์ละ” “ก็มี ถ้ามนุษย์ พวกไหนมาไหว้รุกขเทวดา ก็ในพวกเราบางกลุ่มก็มีฤทธิ์ มีบุญมาก มีฤทธิ์มาก ก็สามารถให้โชคให้ลาภได้เหมือนกัน แต่โชคลาภนั้นก็จะขึ้นอยู่กับตัวของมนุษย์ที่มาขอว่าเขามีโชค มีลาภหรือป่าว ในขณะนั้นถ้าคนที่มาขอกับรุกขเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง แล้วคนนั้นมีโชคอยู่แล้ว มันก็เหมือนกับว่าพวกเราช่วยเขา แต่จริงๆเขามีโชคอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามาขอรุกขเทวดาที่มีฤทธิ์ก็จะบัลดาลโชคลาภนั้นให้มาไวขึ้นหรือให้ตรงพอดีได้ และก็เกิดความโชคดีนั้นขึ้นมาได้เหมือนกัน เป็นไปได้ ไม่ใช่ว่าไม่จริงซะทีเดียว รุกขเทวดาก็มีผลเหมือนกัน” “อ้าวแล้วการที่มนุษย์มาบนบาน มาขอพรอะไรแบบนี้ มาอะไรแบบนี้ล่ะ” “มันก็เป็น ความเชื่อของมนุษย์ แต่ถามว่ารุกขเทวดาต้องการให้มนุษย์เหล่านี้มากราบไหว้มาขอพรมั๊ย ก็ไม่ได้คิดไม่ได้หวังว่าตัวเองมาสถิตอยู่ในต้นไม้ใหญ่แล้วจะต้องให้คนมากราบไหว้เป็นเหมือนว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรมากมาย เราก็มาทำหน้าที่ของเรา มาตามเวลาของเราเหมือนกัน ต่างคนก็ต่างมีหน้าที่ของตัวเองรุกขเทวดาก็มีหน้าที่ของตัวเอง ต้นไม้เป็นที่อยู่ของเรา เท่านั้นเอง” นี่คือคำกล่าวจากปากของนางไม้ผู้หญิงทั้งสองตน ผู้เขียนถามต่อ “แล้วพวกท่านเห็นหมดเลยมั๊ย พวกคนปฏิบัติธรรม เป็นพระ เป็นอะไร” “เห็นหมดแหละ รู้หมดเลยว่าพระองค์ไหนดีองค์ไหนไม่ดี ก็เห็นอยู่ตลอด คนไหนมารักษาศีลไม่รักษาศีลก็เห็นอยู่ตลอด พวกมารักษาปฏิบัติ ก็อย่างเช่นท่านเป็นต้น เป็นคนดี ปฏิบัติจริง ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ สามารถปฏิบัติจนให้ผลกับตัวเองได้ ให้สิ่งที่ดีงามกับตัวเองได้ ก็ถือว่าท่านเป็นคนดีเราจึงอยากจะมามีส่วนอนุโมทนาในบุญกุศลที่ทำอยู่นี้แล้วด้วย ด้วยการมาปฏิบัติพัดวีท่าน แต่ตาธรรมดาของมนุษย์นั้นมองไม่เห็นอยู่แล้วถ้าไม่มีกำลังขนาดท่านก็มองไม่เห็นหรอก ต้องมีกำลังจิตขนาดท่านถึงจะมองเห็นพวกเราได้ นั่นก็เพราะว่าท่านประพฤติปฏิบัติให้ ถูกตรง และดีงาม เราจึงมาพบกับท่านได้ ท่านปฏิบัติไปเถอะ เราก็จะพัดให้ท่านอยู่อย่างนี้แหละ” “งั้นเราจะปฏิบัติต่อนะ พวกท่านอยากจะทำอะไรก็ทำไปตามใจพวกท่านแล้วกัน” ในขณะที่ผู้เขียนปฏิบัติไปนั้นภาพนี้ก็อยู่อย่างนั้นตลอด พวกรุกขเทวดาก็มีชีวิตปกติของเขา ในความที่เราเห็นเขาเป็นความไม่ปกติของเรา แต่ในความที่เขาเป็นของเขาๆปกติของเขา เขาก็ยังทำกิจนั้นกิจนี้ เล่นนั่นเล่นนี่ คุยกันบ้างตามประสา เป็นปกติของพวกเขาที่เป็นอยู่ทุกวัน เพียงแต่มนุษย์ไม่เห็น แต่ในสิ่งที่ปกติคือเราไปเห็นเขาแล้ว ก็เลยรู้ว่ามันมีอยู่จริง สิ่งเหล่านี้มันมีอยู่จริง ส่วนรุกขเทวดาก็จะรู้ว่าใครเป็นคนดีคนชั่ว ใครมีโชคมีลาภมาก็ ช่วยได้บ้าง ไม่ใช่ว่าช่วยได้ทุกคน ไม่ใช่ว่ารุกขเทวดาจะมีแรงหรือว่าบันดาลทุกสิ่งทุกอย่างให้กับมนุษย์ได้ ไม่ใช่หน้าที่ของรุกขเทวดา แต่เพียงแต่ว่าบ้างครั้งมนุษย์บางคนมากราบไหว้นั้น แล้วมนุษย์คนนั้นเขาก็มีบุญของเขาอยู่มีโชคของเขาอยู่ก็คือเขาอาจจะได้โชคนั้นไป แต่ไม่ใช่เป็นเพราะรุกขเทวดาทั้งหมด ผู้เขียนก็ถามต่อว่า “แล้วต้นไม้ที่มีคนมาพันผ้าสามสีแล้วก็ว่าศักดิ์สิทธิ์ๆ นะเป็นเพราะอะไร” “อ้อ แสดงว่ารุกขเทวดาองค์นั้นอยู่มานานแล้ว บำเพ็ญบารมีมาก ขณะอยู่ก็ทำประโยชน์ให้กับบริเวณนั้นมากเป็นร่มเป็นเงา เป็นที่นับ หน้าถือตาของรุกขเทวดาทั้งหลายในบริเวณนั้น และอีกอย่างหนึ่งคือมีอายุที่ยาวนานกว่า อาจจะเป็น 100ปี บ้าง 200ปี บ้าง เป็นรุกขเทวดาที่มีบุญมาก มีบารมีมากเหมือนกัน พวกนี้ก็จะมีความศักดิ์สิทธิมากด้วยตามลำดับของเขาก็ไม่แปลกหรอกที่คนจะเอาผ้ามาพัน จะประสบพบเห็นรุกขเทวดาองค์นี้ได้บ้าง และก็อาจจะมีการไปช่วยเหลือบ้าง เพราะว่า เขามีฤทธิ์มาก และอีกอย่างหนึ่งเขาอยู่ต้นไม้ที่ใหญ่ๆด้วย แล้วบางครั้งเมื่อท่านอยู่ในต้นไม้ที่อายุมากๆ ก็ได้แสดงฤทธิ์ให้ผู้สัญจรไปมาเพื่อให้คนเกิดสัทธา เพื่อปกป้องต้นไม้ต้นนั้นไว้ไม่ให้ถูกตัดนั่นเอง นี่คือสิ่งที่รุกขเทวดาปกป้องต้นไม้อยู่ หรือต้นไม้ต้นไหนมีอายุยืน มีความใหญ่โต มีประโยชน์ต่อสังคมมากๆ มีประโยชน์ต่อโลกมาก รุกขเทวดาก็สามารถที่จะไปบอกคนที่สามารถที่จะสื่อสารได้ในระแวกนั้นให้มาพันผ้าสีไว้ให้เกิดการรักษา แต่ว่าถ้าเกิดพันไว้คนไปตัดจริงๆก็ตัดได้แหละ เขาก็ไม่สามารถจะมาทำร้ายมาฆ่ามาแกงหรอกเขาก็ต้องยอมเพียงแต่ว่าอย่าทำดีกว่า ท้ายที่สุดคือว่าท่านอยู่นานแล้วถ้าไปตัดของท่านเสียท่านจะอยู่ไหนล่ะ” และนี่คือสิ่งที่พูดคุยกับรุกขเทวดามันก็ไม่ได้ใช้เวลาอะไรนานนักก็คือแค่พอเข้าใจในลักษณะในการดำเนินชีวิตของเขาเท่านั้นเองว่า พวกเขามีอยู่นะ การแสดงหรือการเล่าให้ฟังนี้ก็เพื่อจะบอกให้ทุกคนได้รู้ว่ามีอยู่จริง รุกขเทวดาทั้งหลายเขาก็มีอยู่ เขาก็มีความรู้สึกมีความคิดของเขาเหมือนกัน เขาก็ต้องการที่อยู่อาศัยเหมือนเรา เรานะถ้ามีบ้านอยู่แล้วคนมายึดบ้านเรามารื้อบ้านเราเราจะรู้สึกยังไง ในทางกลับกันเราที่ไปตัดต้นไม้เนี่ยก็ให้เราคิดเสียว่านั้นคือบ้านเขาเราไปเบียดเบียนเขาให้ส่งสารพวกเขาบ้าง พวกเขาไม่ได้คิดร้ายเราหรอกไม่สามารถมาทำร้ายอะไรเราได้หรอกแต่เพียงแต่ให้เรารู้ว่าถ้ายังอยากจะอยู่อย่างสันติสุขนะก็อย่าไปทำร้ายเขาเลย อย่าทำร้ายด้วยการตัดไม้ เป็นอันว่าจบเรื่องราวของรุกขเทวดาของผีตัวที่ 5 ไว้แต่เพียงเท่านี้

(คอยพบกับคุยกับผีตัวที่ ๖ เร็วๆนี้...)

ความคิดเห็น