เรื่องราวต่อไปนี้นับเป็นครั้งแรกของประสบการณ์ทางวิญญาณ และเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่ยังจดจำได้ไม่มีวันลืม เรื่องก็มีอยู่ว่า ตอนนั้นผู้เขียนอายุประมาณ ๒๕ ปี มีอาชีพเป็นนักดนตรีเล่นดนตรีตามผับตามเธคในเวลากลางคืน กว่างานจะเลิกก็ดึกมาก กลับถึงบ้านก็ประมาณ ตี ๕ – ๖ โมงเช้าเกือบทุกวัน แต่วันที่ประสบเหตุการณ์นี้ วันนั้นเลิกงานเร็วกว่าปกติกลับถึงบ้านประมาณตี ๒ ด้วยความเหนื่อยจากการเล่นดนตรี พอกลับถึงบ้านไม่ทันเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ขึ้นเตียงนอนเลย หลับไปนานแค่ไหนไม่รู้ รู้ตัวอีกทีมีความรู้สึกว่า เหมือนมีคนมาจับปลายเท้าเขย่าเพื่อจะปลุกให้ตื่น คนกำลังหลับสบาย จึงรู้สึกหงุดหงิดมากที่มี คนมาปลุก ( ผู้เขียนอาศัยอยู่ด้วยกันกับน้องชาย ) และคิดว่าต้องเป็นน้องชายตัวเองแน่ที่มาปลุก จึงพูดออกไปว่า “เฮ้ย อย่ากวนใจ กูเพิ่งกลับมา เหนื่อยอยากจะนอน” โดยที่ไม่ได้ลืมตามามอง อีกสักพักหนึ่งก็มีความรู้สึกว่ามีคนมาจับปลายเท้าเขย่าเพื่อจะปลุกให้ตื่นอีกเป็นครั้งที่สอง “เฮ้ย ก็บอกแล้วว่าอย่ากวนใจ ไม่รู้หรือไงวะ คนจะนอน ไอ้ห่าเอ๊ย” โดยที่ไม่ได้ลืมตาขึ้นมามองเหมือนครั้งแรกยังคงตั้งใจนอนต่อไป และก็ยังคงคิดว่าต้องเป็นน้องชายตัวเองมาปลุกเหมือนเดิม หลังจากนั้นอีกสักพักหนึ่งก็มีความรู้สึกว่ามีมือมาจับปลายเท้าเขย่าเพื่อปลุกให้ตื่นอีกเป็นครั้งที่สาม แต่คราวนี้กลับมีเสียงพูดด้วยว่า “ตื่นเถอะ ตื่นมาคุยกัน” มาถึงครั้งนี้ความรู้สึกโกรธก็เกิดขึ้นในใจจึงลุกขึ้นนั่งพร้อมกับพูดด้วยความโมโหออกไปว่า “พูดไม่รู้เรื่องหรือไงวะว่าคนกำลังจะนอน” “นี่พ่อเอง” “พ่อเพ่ออะไร ไม่มีหรอกพ่ออยู่ที่ชลบุรี” “พ่อเอง พ่อพญายม” พอได้ยินแค่นั้นก็ว่ารู้สึกหายง่วงเป็นปลิดทิ้งตาสว่างทันทีและในความมืดนั้นภาพที่มองเห็นอยู่ข้างหน้าไม่ใช่น้องชายตัวเองดังที่เข้าใจใน ตอนแรกแน่ แต่กลับเป็นภาพของผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งท่าทางดุแต่ดูใจดี ที่สำคัญเขาบอกว่าเขาเป็นพญายม มาถึงตอนนี้ในใจมีทั้งความกลัวและความไม่เชื่อ แต่ความกลัวนั้นมากกว่า แต่ต้องข่มความกลัวไว้ และถามออกไปว่า “ท่านเป็นพญายมจริงหรือผมไม่เชื่อหรอก” “แล้วทำอย่างไรเอ็งถึงจะเชื่อ” ผู้เขียนทำใจดีสู้เสือแล้วตอบไปว่า “เคยได้ยินว่า ท่านพญายมมีลูกน้องคือยมทูตสองตน” เหมือนท่านนั้นรู้ความคิดพอพูดยังไม่ทันจบยมทูตทั้งสองก็ปรากฏตัวยืนอยู่ข้างๆ ผู้เขียนก็ถามต่อไปว่า“แล้วไหนละยมโลกไหนละบัลลังก์ท่าน” ยังไม่ทันพูดจบ บัลลังก์ท่านพญายมก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าภาพทุกอย่างภายในห้องนอนเปลี่ยนไปเป็นเหมือนอยู่ภายในโถงถ้ำใหญ่เบื้องหน้ามีบัลลังก์ของพญายมและท่านพญายมก็ไปนั่งอยู่ที่บัลลังก์นั้นพร้อมด้วยยมทูตทั้งสองยืนอยู่สองข้างซ้ายขวา บริเวณรอบๆมีคนหน้าตาน่ากลัวยืนถืออาวุธต่างๆมีสามง่าม หอก เป็นต้น ล้อมรอบอยู่ ส่วนผู้เขียนนั่งคุกเข่าอยู่ที่หน้าบัลลังก์ พญายม รอบๆกายผู้เขียนมีคนอื่นๆนั่งอยู่ด้วยเต็มไปหมด แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้เขียนตกใจมากก็คือ ผู้เขียนได้เห็นร่างตัวเองนอนอยู่ข้างๆตัวเองที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ “นี่เราออกจากร่างมาหรือนี่” “ลูกเอ้ย เอ็งตายแล้ว” คำคำนี้ทำให้ผู้เขียนยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีกแต่ก็ยังข่มใจไว้ได้ แล้วถามด้วยความไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นว่า “เคยได้ยินปู่ย่าตายาย คนโบราณเล่าให้ฟังว่า คนทุกคนจะมีบัญชีหนังหมาของตัวเองที่ในนรกจะใช้จดบันทึกการกระทำความดีความชั่วของทุกคนไว้แล้วไหนละบัญชีหนังหมาที่ว่า” พูดยังไม่ทันจบ หนังสือเล่มใหญ่เท่าประตูบ้านก็หล่นตุบมากองอยู่ข้างหน้าผู้เขียน “นี่ไงบัญชีหนังหมาที่เอ็งอยากเห็นดูซะให้เต็มตา” ผู้เขียนเอามือไปจับและลูบคลำปกหนังสือนั้นความรู้สึกก็บอกได้ทันทีว่ามันเป็นหนังหมาจริงๆบนหน้าปกหนังสือนั้นมีตัวอักษรบางอย่างเขียนไว้แต่ไม่ใช่ภาษาของมนุษย์เราแน่ แต่ก็รู้ว่ามันอ่านว่าอะไร มันเป็นชื่อของผู้เขียนนั่นเอง พอรู้ว่าบัญชีหนังหมาเล่มนั้น หน้าปกเป็นชื่อเรา ก็เลยลองเปิดอ่านดู ตัวหนังสือที่เขียนด้านในก็ไม่ใช่ภาษามนุษย์แต่ก็อ่านแล้วเข้าใจ ลักษณะการเขียนมีการเขียนเป็นข้อๆมีวันที่กำกับ รายละเอียดแต่ละข้อนั้นจะเขียนเป็นเรื่องการกระทำความดี ทำบุญกุศลอะไรที่ไหนอย่างละเอียดเป็นข้อหนึ่ง ความชั่วบาปที่กระทำเป็นข้อหนึ่งเป็นข้อๆไป อย่างนี้ทุกๆครั้งที่กระทำทั้งความดีและความชั่ว ที่ด้านหน้าของแต่ละข้อนั้น จะมีเครื่องหมายเป็นตัวอักษรของนรกอย่างถ้าข้อไหนเป็นความดี จะใช้อักษรคล้ายอักษรของมนุษย์ คือตัวทีใหญ่ของภาษาอังกฤษ ส่วนอักษรความชั่วคล้ายตัว เอฟใหญ่ ของภาษาอังกฤษ แค่คล้ายแต่ไม่เหมือนเลยทีเดียว แต่ผู้เขียนก็สามารถเข้าใจในความหมายของตัวอักษรนั้น ผู้เขียนอ่านไปทีละข้อมันก็เป็นความจริงทุกข้อทั้งความดีและความชั่วที่เราทำไป อ่านไปจนจบซึ่งมีทั้งหมด ๗ หน้า ในเวลานั้น “มีเท่านี้หรือแค่ ๗ หน้าเอง”“เอ็งอายุเท่าไหร่”“๒๕ ปี”“อายุแค่นี้๗ หน้าก็พอแล้ว” ทั้งๆที่เริ่มมั่นใจว่าคงใช่ยมโลกหรือนรกแน่ แต่ก็ยังไม่วายที่จะลองพิสูจน์อีกว่า “แล้วเรื่องที่ถูกบันทึกในบัญชีนี้ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเป็นความจริงถ้าเจ้าของบัญชีไม่ยอมรับว่าเขาได้กระทำสิ่งนั้น” “ไม่ต้องห่วงข้าเจอพวกผีเจ้าเล่ห์มาเยอะมาเอ็งลองมาดูนี่” ทันใดนั้นก็มีกระจกเงาบานใหญ่เท่าประตูบ้านปรากฏขึ้นตรงหน้า “เออ แล้วเอ็งคิดว่าที่ข้าบันทึกเรื่องของเอ็งไว้ ข้อไหนไม่จริง เอ็งลองบอกข้ามาซิ” ทั้งๆที่รู้ว่าทุกเรื่องที่ถูกบันทึกนั้นเป็นเรื่องจริงแต่ก็อยากลองของดูว่าพวกท่านพญายมนี้เขาจะมีวิธีไหนพิสูจน์หรือแสดงให้เหล่าพวกผีที่ตายลงมานั้นยอมรับกรรมที่ตนก่อไว้โดยไม่มีข้ออ้างบิดพลิ้ว ผู้เขียนได้เลือกความชั่วมาข้อหนึ่งแล้วบอกเขาว่าข้อนี้ไม่จริง เขาก็บอกว่างั้นเอ็งลองดู แล้วกระจกบานนั้นก็ปรากฏภาพเหตุการณ์การกระทำความชั่วนั้นขึ้นที่กระจกเงานั้นคล้ายกับการฉายหนังบนโลกมนุษย์ แต่พระเอกคือตัวเรา ภาพทุกภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏนั้นเป็นความจริงทั้งหมดซึ่งเราไม่สามารถจะปฏิเสธและไม่ยอมรับได้อีกเลย “เป็นไงจะบอกว่าเรื่องที่เอ็งกระทำนี้ไม่จริงอีกมั้ย” ไม่มีคำพูดจากผู้เขียนเพราะยอมจำนนต่อหลักฐานโดยปริยาย ตอนนี้ผู้เขียนเชื่อสนิทใจแล้วล้าน เปอร์เซ็นต์ จึงต้องยอมรับและถามท่านพญายมไปว่า “อ้าวแล้วถ้าตอนนี้ผมตายแล้วจริงๆผมจะต้องไปอยู่ที่ไหน” “อยู่ในนรก” “ว่าไงนะ” “อยู่ในนรกแต่ไม่ได้เป็นสัตว์นรก ไม่ได้รับโทษ แต่ต้องมาทำงานตำแหน่งนายนิริยบาล คอยลงโทษพวกสัตว์นรก” “ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นหล่ะ” “เพราะความดีและความชั่วของเอ็งมันเท่ากันจึงต้องมารับตำแหน่งนี้ ว่าไงอยากจะมาอยู่ทำงานในนรกเลยมั๊ยล่ะ” “ไม่ได้หรอกครับผมยังไม่อยากตาย ยังห่วงพ่อ แม่ พี่น้อง แฟน ไหนจะเพื่อนๆอีก ผมยังไม่ได้ตอบแทนพ่อแม่เลย พ่อแม่ผมยังลำบากอยู่ขอผมกลับไปตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ก่อน อย่าเพิ่งให้ผมตายเลย” “ใจเย็นๆความจริงแล้วเอ็งยังไม่ตายวันนี้หรอก ยังเหลือเวลาอีก ๓ เดือนข้างหน้าจึงจะหมดอายุขัย เอ็งจงกลับไปทำเวลาที่เหลืออยู่ให้มีค่าที่สุดเถอะ ทำบุญทำกุศลให้มากๆ จำไว้ว่าเอ็งไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นคนชั่ว จงค้นหาตัวเองให้เจอ แล้วอีก ๓ เดือนเราค่อยเจอกัน” สิ้นคำพูดประโยคนั้นผู้เขียนก็สะดุ้งตื่นรีบลุกขึ้นจากที่นอนแล้วทบทวนเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันยากมากที่จะเชื่อว่าเป็นความจริง แต่ยังไงก็ตามตั้งแต่เช้าวันนั้นเป็นต้นมา ผู้เขียนก็เลิกกระทำความชั่วทุกอย่าง มุ่งมั่นทำแต่บุญกุศล เพราะรู้ตัวเองว่าเหลือเวลาอีกแค่ ๓ เดือนก็จะต้องตายแล้ว และในระยะเวลาช่วงนั้นถ้าผู้เขียนมีความสงสัยเรื่องถ้าทำบาปกรรมอะไรว่าจะต้องได้รับการลงทัณฑ์ในนรกอย่างไร ก็จะได้ไปเห็นการลงทัณฑ์นั้นในนรกทุกครั้งอย่างชัดเจนและจดจำได้ตลอดอย่างไม่ลืมและเมื่อครบ ๓ เดือนท่านพระยายมก็มาหาอีกครั้งและบอกกับผู้เขียนว่า “เข้าใจแล้วใช่ไหมว่ามนุษย์เกิดมาทำไม และต้องทำอะไรเป็นสำคัญ ต่อไปขอให้ตั้งใจทำแต่ความดี หมั่นทำบุญทำกุศลเอาไว้ให้มากๆ การมีชีวิตไม่สำคัญว่าสั้นหรือยาว แต่สำคัญว่าได้ทำสิ่งที่ควรทำ นับแต่นี้ต่อไปจงกำหนดชะตาชีวิตของตัวเอง ความดีและความชั่วเป็นเรื่องส่วนบุคคล ใครทำดีต้องได้รับผลของความดีที่ตนได้กระทำไว้ ใครทำชั่วก็ต้องได้ผลของความชั่วที่ตนได้กระทำไว้ เช่นกัน จดจำคำพ่อไว้นะลูก พ่อต้องไปแล้ว ต่อไปถ้าสงสัยเรื่องอะไรเกี่ยวกับนรก ให้รู้ไว้ว่านรกยินดีต้อนรับเจ้าเสมอ” แล้วท่านพ่อพระยายมก็จากไปฯ
เรื่องราวต่อไปนี้นับเป็นครั้งแรกของประสบการณ์ทางวิญญาณ และเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่ยังจดจำได้ไม่มีวันลืม เรื่องก็มีอยู่ว่า ตอนนั้นผู้เขียนอายุประมาณ ๒๕ ปี มีอาชีพเป็นนักดนตรีเล่นดนตรีตามผับตามเธคในเวลากลางคืน กว่างานจะเลิกก็ดึกมาก กลับถึงบ้านก็ประมาณ ตี ๕ – ๖ โมงเช้าเกือบทุกวัน แต่วันที่ประสบเหตุการณ์นี้ วันนั้นเลิกงานเร็วกว่าปกติกลับถึงบ้านประมาณตี ๒ ด้วยความเหนื่อยจากการเล่นดนตรี พอกลับถึงบ้านไม่ทันเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ขึ้นเตียงนอนเลย หลับไปนานแค่ไหนไม่รู้ รู้ตัวอีกทีมีความรู้สึกว่า เหมือนมีคนมาจับปลายเท้าเขย่าเพื่อจะปลุกให้ตื่น คนกำลังหลับสบาย จึงรู้สึกหงุดหงิดมากที่มี คนมาปลุก ( ผู้เขียนอาศัยอยู่ด้วยกันกับน้องชาย ) และคิดว่าต้องเป็นน้องชายตัวเองแน่ที่มาปลุก จึงพูดออกไปว่า “เฮ้ย อย่ากวนใจ กูเพิ่งกลับมา เหนื่อยอยากจะนอน” โดยที่ไม่ได้ลืมตามามอง อีกสักพักหนึ่งก็มีความรู้สึกว่ามีคนมาจับปลายเท้าเขย่าเพื่อจะปลุกให้ตื่นอีกเป็นครั้งที่สอง “เฮ้ย ก็บอกแล้วว่าอย่ากวนใจ ไม่รู้หรือไงวะ คนจะนอน ไอ้ห่าเอ๊ย” โดยที่ไม่ได้ลืมตาขึ้นมามองเหมือนครั้งแรกยังคงตั้งใจนอนต่อไป และก็ยังคงคิดว่าต้องเป็นน้องชายตัวเองมาปลุกเหมือนเดิม หลังจากนั้นอีกสักพักหนึ่งก็มีความรู้สึกว่ามีมือมาจับปลายเท้าเขย่าเพื่อปลุกให้ตื่นอีกเป็นครั้งที่สาม แต่คราวนี้กลับมีเสียงพูดด้วยว่า “ตื่นเถอะ ตื่นมาคุยกัน” มาถึงครั้งนี้ความรู้สึกโกรธก็เกิดขึ้นในใจจึงลุกขึ้นนั่งพร้อมกับพูดด้วยความโมโหออกไปว่า “พูดไม่รู้เรื่องหรือไงวะว่าคนกำลังจะนอน” “นี่พ่อเอง” “พ่อเพ่ออะไร ไม่มีหรอกพ่ออยู่ที่ชลบุรี” “พ่อเอง พ่อพญายม” พอได้ยินแค่นั้นก็ว่ารู้สึกหายง่วงเป็นปลิดทิ้งตาสว่างทันทีและในความมืดนั้นภาพที่มองเห็นอยู่ข้างหน้าไม่ใช่น้องชายตัวเองดังที่เข้าใจใน ตอนแรกแน่ แต่กลับเป็นภาพของผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งท่าทางดุแต่ดูใจดี ที่สำคัญเขาบอกว่าเขาเป็นพญายม มาถึงตอนนี้ในใจมีทั้งความกลัวและความไม่เชื่อ แต่ความกลัวนั้นมากกว่า แต่ต้องข่มความกลัวไว้ และถามออกไปว่า “ท่านเป็นพญายมจริงหรือผมไม่เชื่อหรอก” “แล้วทำอย่างไรเอ็งถึงจะเชื่อ” ผู้เขียนทำใจดีสู้เสือแล้วตอบไปว่า “เคยได้ยินว่า ท่านพญายมมีลูกน้องคือยมทูตสองตน” เหมือนท่านนั้นรู้ความคิดพอพูดยังไม่ทันจบยมทูตทั้งสองก็ปรากฏตัวยืนอยู่ข้างๆ ผู้เขียนก็ถามต่อไปว่า“แล้วไหนละยมโลกไหนละบัลลังก์ท่าน” ยังไม่ทันพูดจบ บัลลังก์ท่านพญายมก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าภาพทุกอย่างภายในห้องนอนเปลี่ยนไปเป็นเหมือนอยู่ภายในโถงถ้ำใหญ่เบื้องหน้ามีบัลลังก์ของพญายมและท่านพญายมก็ไปนั่งอยู่ที่บัลลังก์นั้นพร้อมด้วยยมทูตทั้งสองยืนอยู่สองข้างซ้ายขวา บริเวณรอบๆมีคนหน้าตาน่ากลัวยืนถืออาวุธต่างๆมีสามง่าม หอก เป็นต้น ล้อมรอบอยู่ ส่วนผู้เขียนนั่งคุกเข่าอยู่ที่หน้าบัลลังก์ พญายม รอบๆกายผู้เขียนมีคนอื่นๆนั่งอยู่ด้วยเต็มไปหมด แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้เขียนตกใจมากก็คือ ผู้เขียนได้เห็นร่างตัวเองนอนอยู่ข้างๆตัวเองที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ “นี่เราออกจากร่างมาหรือนี่” “ลูกเอ้ย เอ็งตายแล้ว” คำคำนี้ทำให้ผู้เขียนยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีกแต่ก็ยังข่มใจไว้ได้ แล้วถามด้วยความไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นว่า “เคยได้ยินปู่ย่าตายาย คนโบราณเล่าให้ฟังว่า คนทุกคนจะมีบัญชีหนังหมาของตัวเองที่ในนรกจะใช้จดบันทึกการกระทำความดีความชั่วของทุกคนไว้แล้วไหนละบัญชีหนังหมาที่ว่า” พูดยังไม่ทันจบ หนังสือเล่มใหญ่เท่าประตูบ้านก็หล่นตุบมากองอยู่ข้างหน้าผู้เขียน “นี่ไงบัญชีหนังหมาที่เอ็งอยากเห็นดูซะให้เต็มตา” ผู้เขียนเอามือไปจับและลูบคลำปกหนังสือนั้นความรู้สึกก็บอกได้ทันทีว่ามันเป็นหนังหมาจริงๆบนหน้าปกหนังสือนั้นมีตัวอักษรบางอย่างเขียนไว้แต่ไม่ใช่ภาษาของมนุษย์เราแน่ แต่ก็รู้ว่ามันอ่านว่าอะไร มันเป็นชื่อของผู้เขียนนั่นเอง พอรู้ว่าบัญชีหนังหมาเล่มนั้น หน้าปกเป็นชื่อเรา ก็เลยลองเปิดอ่านดู ตัวหนังสือที่เขียนด้านในก็ไม่ใช่ภาษามนุษย์แต่ก็อ่านแล้วเข้าใจ ลักษณะการเขียนมีการเขียนเป็นข้อๆมีวันที่กำกับ รายละเอียดแต่ละข้อนั้นจะเขียนเป็นเรื่องการกระทำความดี ทำบุญกุศลอะไรที่ไหนอย่างละเอียดเป็นข้อหนึ่ง ความชั่วบาปที่กระทำเป็นข้อหนึ่งเป็นข้อๆไป อย่างนี้ทุกๆครั้งที่กระทำทั้งความดีและความชั่ว ที่ด้านหน้าของแต่ละข้อนั้น จะมีเครื่องหมายเป็นตัวอักษรของนรกอย่างถ้าข้อไหนเป็นความดี จะใช้อักษรคล้ายอักษรของมนุษย์ คือตัวทีใหญ่ของภาษาอังกฤษ ส่วนอักษรความชั่วคล้ายตัว เอฟใหญ่ ของภาษาอังกฤษ แค่คล้ายแต่ไม่เหมือนเลยทีเดียว แต่ผู้เขียนก็สามารถเข้าใจในความหมายของตัวอักษรนั้น ผู้เขียนอ่านไปทีละข้อมันก็เป็นความจริงทุกข้อทั้งความดีและความชั่วที่เราทำไป อ่านไปจนจบซึ่งมีทั้งหมด ๗ หน้า ในเวลานั้น “มีเท่านี้หรือแค่ ๗ หน้าเอง”“เอ็งอายุเท่าไหร่”“๒๕ ปี”“อายุแค่นี้๗ หน้าก็พอแล้ว” ทั้งๆที่เริ่มมั่นใจว่าคงใช่ยมโลกหรือนรกแน่ แต่ก็ยังไม่วายที่จะลองพิสูจน์อีกว่า “แล้วเรื่องที่ถูกบันทึกในบัญชีนี้ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเป็นความจริงถ้าเจ้าของบัญชีไม่ยอมรับว่าเขาได้กระทำสิ่งนั้น” “ไม่ต้องห่วงข้าเจอพวกผีเจ้าเล่ห์มาเยอะมาเอ็งลองมาดูนี่” ทันใดนั้นก็มีกระจกเงาบานใหญ่เท่าประตูบ้านปรากฏขึ้นตรงหน้า “เออ แล้วเอ็งคิดว่าที่ข้าบันทึกเรื่องของเอ็งไว้ ข้อไหนไม่จริง เอ็งลองบอกข้ามาซิ” ทั้งๆที่รู้ว่าทุกเรื่องที่ถูกบันทึกนั้นเป็นเรื่องจริงแต่ก็อยากลองของดูว่าพวกท่านพญายมนี้เขาจะมีวิธีไหนพิสูจน์หรือแสดงให้เหล่าพวกผีที่ตายลงมานั้นยอมรับกรรมที่ตนก่อไว้โดยไม่มีข้ออ้างบิดพลิ้ว ผู้เขียนได้เลือกความชั่วมาข้อหนึ่งแล้วบอกเขาว่าข้อนี้ไม่จริง เขาก็บอกว่างั้นเอ็งลองดู แล้วกระจกบานนั้นก็ปรากฏภาพเหตุการณ์การกระทำความชั่วนั้นขึ้นที่กระจกเงานั้นคล้ายกับการฉายหนังบนโลกมนุษย์ แต่พระเอกคือตัวเรา ภาพทุกภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏนั้นเป็นความจริงทั้งหมดซึ่งเราไม่สามารถจะปฏิเสธและไม่ยอมรับได้อีกเลย “เป็นไงจะบอกว่าเรื่องที่เอ็งกระทำนี้ไม่จริงอีกมั้ย” ไม่มีคำพูดจากผู้เขียนเพราะยอมจำนนต่อหลักฐานโดยปริยาย ตอนนี้ผู้เขียนเชื่อสนิทใจแล้วล้าน เปอร์เซ็นต์ จึงต้องยอมรับและถามท่านพญายมไปว่า “อ้าวแล้วถ้าตอนนี้ผมตายแล้วจริงๆผมจะต้องไปอยู่ที่ไหน” “อยู่ในนรก” “ว่าไงนะ” “อยู่ในนรกแต่ไม่ได้เป็นสัตว์นรก ไม่ได้รับโทษ แต่ต้องมาทำงานตำแหน่งนายนิริยบาล คอยลงโทษพวกสัตว์นรก” “ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นหล่ะ” “เพราะความดีและความชั่วของเอ็งมันเท่ากันจึงต้องมารับตำแหน่งนี้ ว่าไงอยากจะมาอยู่ทำงานในนรกเลยมั๊ยล่ะ” “ไม่ได้หรอกครับผมยังไม่อยากตาย ยังห่วงพ่อ แม่ พี่น้อง แฟน ไหนจะเพื่อนๆอีก ผมยังไม่ได้ตอบแทนพ่อแม่เลย พ่อแม่ผมยังลำบากอยู่ขอผมกลับไปตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ก่อน อย่าเพิ่งให้ผมตายเลย” “ใจเย็นๆความจริงแล้วเอ็งยังไม่ตายวันนี้หรอก ยังเหลือเวลาอีก ๓ เดือนข้างหน้าจึงจะหมดอายุขัย เอ็งจงกลับไปทำเวลาที่เหลืออยู่ให้มีค่าที่สุดเถอะ ทำบุญทำกุศลให้มากๆ จำไว้ว่าเอ็งไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นคนชั่ว จงค้นหาตัวเองให้เจอ แล้วอีก ๓ เดือนเราค่อยเจอกัน” สิ้นคำพูดประโยคนั้นผู้เขียนก็สะดุ้งตื่นรีบลุกขึ้นจากที่นอนแล้วทบทวนเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันยากมากที่จะเชื่อว่าเป็นความจริง แต่ยังไงก็ตามตั้งแต่เช้าวันนั้นเป็นต้นมา ผู้เขียนก็เลิกกระทำความชั่วทุกอย่าง มุ่งมั่นทำแต่บุญกุศล เพราะรู้ตัวเองว่าเหลือเวลาอีกแค่ ๓ เดือนก็จะต้องตายแล้ว และในระยะเวลาช่วงนั้นถ้าผู้เขียนมีความสงสัยเรื่องถ้าทำบาปกรรมอะไรว่าจะต้องได้รับการลงทัณฑ์ในนรกอย่างไร ก็จะได้ไปเห็นการลงทัณฑ์นั้นในนรกทุกครั้งอย่างชัดเจนและจดจำได้ตลอดอย่างไม่ลืมและเมื่อครบ ๓ เดือนท่านพระยายมก็มาหาอีกครั้งและบอกกับผู้เขียนว่า “เข้าใจแล้วใช่ไหมว่ามนุษย์เกิดมาทำไม และต้องทำอะไรเป็นสำคัญ ต่อไปขอให้ตั้งใจทำแต่ความดี หมั่นทำบุญทำกุศลเอาไว้ให้มากๆ การมีชีวิตไม่สำคัญว่าสั้นหรือยาว แต่สำคัญว่าได้ทำสิ่งที่ควรทำ นับแต่นี้ต่อไปจงกำหนดชะตาชีวิตของตัวเอง ความดีและความชั่วเป็นเรื่องส่วนบุคคล ใครทำดีต้องได้รับผลของความดีที่ตนได้กระทำไว้ ใครทำชั่วก็ต้องได้ผลของความชั่วที่ตนได้กระทำไว้ เช่นกัน จดจำคำพ่อไว้นะลูก พ่อต้องไปแล้ว ต่อไปถ้าสงสัยเรื่องอะไรเกี่ยวกับนรก ให้รู้ไว้ว่านรกยินดีต้อนรับเจ้าเสมอ” แล้วท่านพ่อพระยายมก็จากไปฯ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น