คุยกับผีตัวที่ 3 สัมภเวสี


ในวันที่ ๓ หลังจากที่ฉันอาหารเพลเสร็จแล้ว ก็กลับมาพักที่กุฏิ นอนพักสักครู่หนึ่งพอหายง่วงแล้วก็ลุกขึ้นมาปฏิบัติธรรมเจริญสมถะกรรมฐาน นั่งสมาธิอยู่ที่หน้าประตูกุฏิของตัวเอง จำได้ว่าตอนนั้นเป็นเวลาประมาณบ่ายสองโมงกว่าๆ ขณะที่ผู้เขียนกำลังนั่งสมาธิได้สักพัก ก็มีความรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างวนเวียนอยู่รอบๆตัวก็เลยลองเพ่งมองไปในสมาธิก็ได้เห็นว่าสิ่งที่วนเวียนอยู่รอบๆตัวนั้นคือ ภาพของผีตัวหนึ่งกำลังทำท่าหลอกให้กลัว มีท่าทางต่างๆเช่น แลบลิ้นยาวๆมาเลียผู้เขียน ทำตาถลนออกจากเบ้าตาจนลูกตาหลุดหล่นออกมา แหวกพุงจนไส้ทะลักออกมากอง ยืดแขนยืดขา เอามือมาบีบคอ ดึงคอตัวเองจนขาดกระเด็น หักแขนหักขาตัวเองโยนมาใส่ผู้เขียน ทำให้เลือดท่วมตัวทำท่าสยดสยองต่าง ฯ เจตนาก็เพื่อทำให้ผู้เขียนกลัวแล้วจะได้ลุกออกจากสมาธิ แต่ผู้เขียนก็เฉยหาได้กลัวแต่ใดไม่ พอผีตัวนั้นเห็นว่าผู้เขียนไม่มีอาการกลัวเลยเขาก็ไป จากนั้นก็มีผีตัวอื่นเวียนเข้ามาหลอกอีก ทั้งผีเด็ก ผีตายท้องกลม ผีคนแก่ ผีไม่มีหัว ผีขาขาด ผีแขนขาด ผีตัวขาดสองท่อน เวียนกันเข้ามาหลอกหลอนอย่านี้หลายสิบตัวแต่ผู้เขียนก็ยังนั่งเฉยไม่สะทกสะท้าน จนในที่สุดตัวที่เป็นหัวหน้าพูดขึ้นว่า “พอแล้วเขาคงไม่กลัวพวกเราหรอก จิตเขาแข็งมาก พวกเอ็งไปเถอะอย่าไปกวนเขาเลย” และผีตัวหัวหน้า>>
ก็เข้ามาคุยกับผู้เขียน “ข้าต้องขอโทษท่านด้วยที่มากวนการปฏิบัติธรรมของท่าน พวกข้าแค่อยากลองใจท่านเท่านั้น ว่าท่านมีจิตที่เข้มแข็งมากแค่ไหน คือจะแน่สักแค่ไหนหวังว่าท่านคงให้อภัย” “เราให้อภัยพวกท่าน แต่ท่านอย่าเพิ่งไป เราอยากคุยกับท่านก่อน” ผีตัวนั้นรับคำ “อย่างท่านนี้รียกว่าอะไร” “อย่างพวกข้านี้เรียกว่า ผีเร่ร่อนยังไม่ถึงเวลาไปผุดไปเกิด หรือที่พวกมนุษย์มักเรียกพวกข้าว่าสัมภเวสีนั่นเอง” “แล้วพวกท่านมีจำนวนเท่าไหร่” “ท่านจงดูเอาเถิด พวกนั้นเป็นพวกเดียวกับข้าทั้งนั้น” ผีตัวนั้นพูดพลางชี้มือให้ผู้เขียนดู ผู้เขียนมองตามมือนั้นไป “พระช่วย” ผู้เขียนอุทานกับสิ่งที่เห็น พวกผีเร่ร่อนที่ผู้เขียนได้เห็นนั้นมีจำนวนมากมายเหลือเกินพวกผีเหล่านั้นล่องลอยไปมาเต็มไปหมด บางตนนั้นล่องลอยมาชนร่างกายผู้เขียนแล้วผ่านไป อย่างไม่รู้สึกอะไร บ้างก็หัวเราะ บ้างก็ร้องไห้ บ้างก็กำลังพูดคุยกันดูแล้วคล้ายๆกับคนบ้าตามโรงพยาบาลบ้า ต่างตนต่างล่องลอยปะปนกันไปทั่วทั้งบริเวณสนามหญ้าที่กว้างใหญ่ของวัดที่ผู้เขียนไปถือศีล จำนวนผีที่เห็นนั้นมีมากจนนับไม่ไหวมีนับพันๆตนก็ว่าได้ “ทั้งหมดนี่เลยหรือ” ผู้เขียนถาม “ที่เห็นนี่แค่บางส่วนเท่านั้น ในโลกของผีเร่ร่อนนั้นมีอย่างพวกข้านี่มากมายนับไม่ถ้วน เรียกง่ายๆว่าทุกๆที่มีผีพวกนี้กระจายกันอยู่ไปทั่วปะปนเดินชนกันกับพวกมนุษย์ แต่พวกมนุษย์นั้นมองไม่เห็นเท่านั้นเอง “แล้วทำไมพวกท่านถึงเป็นวิญญาณเร่ร่อนอย่างนี้ด้วย” >>
“มีหลายปัจจัยอย่างแรกสุดคือ การที่ตายก่อนเวลาอันควร พวกนี้น่าสงสารเพราะไปไหนไม่ได้ยังไปเกิดในภพต่อไปไม่ได้ ต้องรอจนกว่าจะถึงเวลาของตัวเอง บางพวกเป็นวิญญาณดื้อรั้นไม่ยอมไปผุดไปเกิด ผูกตัวเองไว้กับความรักความแค้นความห่วงความหวงในคนที่ตนรัก ในสมบัติที่ตนหวง บางพวกถูกสาปด้วยบาปของตนที่กระทำไว้” “แล้วจะช่วยปลดปล่อยความทุกข์ให้พวกเขาได้อย่างไร” “อุทิศส่วนกุศล แผ่เมตตาถึงพวกเขา บำเพ็ญบุญกุศลให้พวกเขาได้โมทนาสาธุกับบุญนั้น เป็นวิธีเดียวที่เราจะช่วยพวกเขาได้” ผู้เขียนได้ฟังแล้วรู้สึกสงสารและเวทนาพวกเขายิ่งนัก “ได้เวลาที่ข้าต้องไปแล้ว ขอให้ท่านจงเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป เพราะวันข้างหน้าธรรมของท่านจะช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์ได้ ขอให้ท่านโปรดรักษาตัวด้วย ข้าลาก่อน” และแล้วผีหัวหน้าสัมภเวสีนั้นก็จากไป เป็นอันว่าจบเรื่องราวของผีตัวที่ ๓ ไว้เพียงเท่านี้>>

ความคิดเห็น